วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2559

ปลาหมึกนึ่งมะนาว

ปลาหมึกนึ่งมะนาว

ส่วนผสมปลาหมึกนึ่งมะนาว

1. ปลาหมึกสด
2. พริกขี้หนูสับ
3. กระเทียมสับ
4. น้ำปลา
5. มะนาว
6. น้ำตาลทราย
7. ผักชีฝรั่งซอย

วิธีทำปลาหมึกนึ่งมะนาว

1. นำปลาหมึกสดมาล้างให้สะอาด เอาตาและไส้ออก และหั่นเป็นชิ้นใส่จาน รอนึ่ง
2. เทน้ำใส่หม้อนึ่ง ตั้งน้ำให้เดือดด้วยไฟแรงๆ นำปลาหมึกสดที่หั่นไว้ลงไปนึ่งประมาณ 10 นาที
3. ระหว่างนี้เราก็มาทำน้ำราดกันค่ะ โดยนำพริกขี้หนูสับและกระเทียมสับใส่ลงในชาม ปรุงรสด้วยน้ำปลา มะนาว น้ำตาลทรายจนพอใจ แนะนำให้ปรุงรสจัดกว่าปกติหน่อยค่ะ เพราะน้ำในปลาหมึกจะออกหลังจากนึ่ง เวลาราดผสมแล้วจะอ่อนลง และควรจะรินน้ำจากปลาหมึกออกสักหน่อยเหลือไว้พอคลุกคลิก แล้วค่อยราดน้ำยำลงไปจะแซ่บพอดีค่ะ โรยหน้าผักชีฝรั่งนิดหน่อย ก็ทานได้แล้วค่ะ

ขนมจีนน้ำยาใต้

ขนมจีนน้ำยาใต้ (ขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้)

ส่วนผสมขนมจีนน้ำยาใต้

1. พริกแกงใต้ (ถ้าซื้อพริกแกงสำเร็จ ให้เติมกะปิเพิ่มด้วยค่ะ)
2. ปลาน้ำดอกไม้
3. หัวกะทิ + หางกะทิ
4. ลูกชิ้นปลา
5. ส้มแขก 1-2 ชิ้น มีรสเปรี้ยว(ไม่ใส่ก็ได้)
6. ใบมะกรูด
7. เกลือ
8. น้ำปลา
9. น้ำตาลปี๊บ

วิธีทำขนมจีนน้ำยาใต้

1. นำปลามาทาเกลือแล้วไปนึ่ง แกะเอาแต่เนื้อ โขลกให้ละเอียด พักไว้
2. ตั้งหัวกะทิให้ร้อนใส่พริกแกงใต้ลงไปผัดให้หอม ใส่หางกะทิลงไปต้มให้เดือด
3. ใส่เนื้อปลาโขลก ลูกชิ้นปลา และใบมะกรูดลงไป
4. ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ เกลือ น้ำปลา และส้มแขก ต้มให้เดือดอีกครั้ง
5. ตักราดบนเส้นขนมจีน เสิร์ฟทานพร้อมไข่ต้ม ผักสดตามชอบ (ถ้าชอบรสจัดให้ตำพริกสดใส่ถ้วยและแยกเกลือไว้ข้างๆ จะช่วยเพิ่มรสชาติมากขึ้น)

ขนมจีนน้ำยาปู

ขนมจีนน้ำยาปู

ส่วนผสมขนมจีนน้ำยาปู

1. พริกแกงใต้ 500 กรัม
2. หัวกะทิ + หางกะทิ 2 กิโลกรัม
3. กรรเชียงปู (เนื้อปู) 1 กิโลกรัม
4. น้ำตาลปี๊บ
5. เกลือ
6. ส้มแขก กะตามชอบ

วิธีทำขนมจีนน้ำยาปู

1. นำหัวกะทิใส่หม้อ ยกขึ้นตั้งไฟ เคี่ยวให้แตกมัน ใส่พริกแกงใต้ลงไปผัดให้หอม
2. ใส่หางกะทิลงไปคนให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บและเกลือให้มีเค็มหวานตามชอบ ใส่ส้มแขกตามลงไป จะทำให้มีรสเปรี้ยวเล็กน้อย ปล่อยให้เดือด
3. ใส่เนื้อปูลงไปคนให้เข้ากันแบบเบามือ เพื่อไม่ให้เนื้อปูแตก ปล่อยให้เดือดอีกครั้ง ปิดเตาไฟ
4. ตักราดบนเส้นขนมจีน ทานพร้อมผักสดและไข่ต้ม อร่อยสุดๆเลยค่า

ขนมขาหมู (ตือคาโค)

ขนมขาหมู (ตือคาโค) : เหมาะกับช่วงเทศกาลกินเจที่มาถึงนี้เลยค่ะ ใส่เผือกกับถั่ว ทานตอนทอดใหม่ๆ กรอบนอก นุ่มใน อร่อยมากเลยล่ะค่ะ แถมยังเป็นอาหารเจที่มีตลอดทุกช่วงเทศกาลกินเจอีกด้วยนะคะ

ส่วนผสมขนมขาหมู (ตือคาโค) : สูตรนี้ได้ขนมประมาณ 8 ชิ้น

ตัวขนม

1. แป้งข้าวจ้าว 1/2 ถ้วย
2. แป้งสาลี 1/2 ถ้วย
3. กะทิ 1/2 ถ้วย
4. น้ำปูนใส 1/2 ถ้วย
5. ถั่วดำต้มสุก 1/2 ถ้วย
6. เผือกหั่นชิ้นเล็ก 1+1/2 ถ้วย
7. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
8. น้ำมันสำหรับทอด
9. พิมพ์ขนมขาหมู (ถ้าไม่มีใช้ทัพพีกลมๆแทนได้ค่ะ)

น้ำจิ้ม

1. น้ำตาลปี๊บ 1/2 ถ้วย
2. น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย
3. น้ำมะขามเปียก 4 ช้อนโต๊ะ
4. เกลือปลายช้อน
5. พริกสดสีแดง โขลกหยาบๆ 4 เม็ด
6. ถั่วลิสงคั่ว โขลกหยาบๆ 2 ช้อนโต๊ะ
7. ผักชีซอย

วิธีทำขนมขาหมู (ตือคาโค)

น้ำจิ้ม

ผสมน้ำตาลปี๊บ น้ำเปล่า น้ำมะขามเปียก และเกลือลงในหม้อ นำขึ้นตั้งเตาให้เดือดดี เคี่ยวให้ข้นขึ้นเล็กน้อย แล้วใส่พริกสดสีแดงโขลกหยาบๆลงไป คนให้เข้ากัน พักไว้ให้เย็น

ตัวขนม

1. ผสมแป้งข้าวจ้าว แป้งสาลี กะทิ น้ำปูนใส และเกลือลงในชามผสม คนให้แป้งละลายหมด แล้วใส่เผือกหั่นชิ้นเล็ก ถั่วดำต้มสุก ลงไปคนผสมให้เข้ากัน
2. นำพิมพ์แช่ในน้ำมันให้ร้อนดีก่อน แล้วตักส่วนผสมใส่ลงไป จุ่มลงในน้ำมัน พอขนมเริ่มจับตัวกันดี และขอบขนมด้านข้างร่อนออกจากพิมพ์ ใช้ไม้แหลมแคะออกจากพิมพ์ ทอดให้เหลืองกรอบทั้งสองด้าน ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน ทอดจนหมดแป้ง

เวลาจะรับประทานก็ตัดขนมเป็นชิ้นเล็ก จัดใส่จาน ทานคู่กับน้ำจิ้มที่เคี่ยวไว้ โดยใส่ผักชีซอยและถั่วลิสงคั่วโขลกหยาบๆลงไปในน้ำจิ้มด้วย

พะแนงเนื้อ

พะแนงเนื้อ

ส่วนผสมพะแนงเนื้อ

1. เนื้อติดมัน 1 กิโลกรัม
  • หั่นชิ้นเล็กๆพอคำ นำเนื้อใส่หม้อ ใส่น้ำ 1 ลิตร ใบมะกรูด ตั้งไฟกลางให้เดือด ใส่นำ้ปลา 5 ช้อนโต๊ะ รวนให้เนื้อนุ่ม รอไว้
2. กะทิ 1 กิโลกรัม (แยกหัว-หาง)
  • เคี่ยวหัวกะทิรอไว้
3. พริกแกงเผ็ด 1 ขีด
4. ลูกผักชีป่น 1 ช้อนโต๊ะ
5. ยี่หร่าป่น 1/2 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำตาลปี๊บ 1/2 ขีด
7. น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
8. มะเขือพวง 2 ขีด
9. ใบมะกรูด 15 ใบ
10. พริกชี้ฟ้าแดง+เขียวอย่างละ 1 เม็ด หั่นเฉียง
11. ใบโหระพา 1 กำ

วิธีทำพะแนงเนื้อ

1. ตั้งกระทะใส่หัวกะทิที่เคี่ยวรอไว้ลงไป ใส่พริกแกงเผ็ด ลูกผักชีป่น และยี่หร่าป่นลงผัดให้แตกมัน แล้วสลับใส่หัวกะทิกับหางกะทิลงผัดไปเรื่อยๆด้วยไฟอ่อน จนกะทิที่ผัดแตกมันสวย
2. ใส่เนื้อที่รวนไว้ลงไปผัดให้พริกแกงให้เข้าเนื้อ
3. ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาลปี๊บ ใส่มะเขือพวง พริกชี้ฟ้าหั่นเฉียง ใบมะกรูด และใบโหระพาลงไปคนให้เข้ากัน ปิดไฟ ตักใส่ชาม เสิร์ฟได้เลยค่ะ

น้ำพริกตาแดง

น้ำพริกตาแดงโบราณ

ส่วนผสมน้ำพริกตาแดง

1. พริกขี้หนูแห้งนำมาคั่วแล้วป่น 100 กรัม (เพิ่มลดตามชอบ)
2. กระเทียมไทย 200 กรัม
3. หอมแดง 300 กรัม
4. มะขามเปียกใหม่ๆ 200 กรัม (แกะเอาแต่เนื้อ แล้วนำมาสับให้ละเอียด นำไปนึ่งฆ่าเชื้อประมาณ 20 นาที)
5. กะปิอย่างดี (นำไปห่อใบตอง แล้วย่างบนเตาถ่านให้หอม)
6. น้ำตาลมะพร้าว 50 กรัม
7. น้ำปลาอย่างดี

วิธีทำน้ำพริกตาแดง

1. นำหอมแดงและกระเทียมไปย่างบนเตาถ่านให้สุก
2. แล้วนำมาใส่ครกโขลกให้ละเอียด ใส่พริกขี้หนูแห้งนำมาคั่วแล้วป่นไว้ + กะปิย่างลงโขลกให้เข้ากัน ใส่เนื้อมะขามเปียกที่สับไว้ลงโขลกให้ละเอียด
3. ปรุงรสด้วยน้ำตาลและน้ำปลาชิมรสตามชอบ แต่ควรจะเผ็ดนำ เปรี้ยว เค็ม และหวานเล็กน้อย
4. ตักใส่ภาชนะที่สะอาดเก็บไว้รับประทานได้นาน เสร็จเรียบร้อยพร้อมรับประทานคู่กับเนื้อเค็ม ไข่เจียว กากหมู ผักสดอื่นๆได้ตามชอบเลยค่ะ

ยำขนมจีน

ยำขนมจีน

ส่วนผสมยำขนมจีน

1. เส้นขนมจีน
2. ถั่วฝักยาวซอย
3. ถั่วพลูซอย
4. หอมแดงซอย
5. ต้นหอมซอย
6. น้ำปลา
7. มะนาว
8. พริกป่น
9. น้ำปลาร้าต้มสุก
10. น้ำตาล
11. ปลาดุกฟู
12. หมูยอ
13. ไข่ยางมะตูม (เครื่องเคียง)
14. แคปหมู (เครื่องเคียง)

วิธีทำยำขนมจีน


1. เริ่มจากทำน้ำยำกันก่อนค่ะ ใส่น้ำปลา น้ำมะนาว น้ำปลาร้าต้มสุก พริกป่น น้ำตาลลงคนผสมรวมกันในชามผสมให้เข้ากัน ชิมรสชาติตามต้องการ แต่ให้รสจัดนิดนึงค่ะ เพราะใส่ขนมจีนแล้วจะจืดลงอีกหน่อย
2. ใส่เส้นขนมจีน ถั่วฝักยาว ถั่วพลู ปลาดุกฟู (เหลือไว้โรยแต่งหน้านิดนึงค่ะ) ต้นหอมซอย หอมแดงซอย และหมูยอ ลงคลุกเคล้าให้เข้ากัน
3. จัดใส่จานเสริฟพร้อมเครื่องเคียงพวกไข่ยางมะตูมและแคปหมู พร้อมทานแล้วค่ะ

เมี่ยงคำ

เมี่ยงคำ : อาหารว่างไทยเป็นของดีที่มีมานาน เมี่ยงคำ ประกอบด้วย น้ำเมี่ยงและเครื่องเมี่ยง ห่อด้วยใบไม้ เช่น ใบชะพลู ใบทองหลาง

ส่วนผสมและวิธีทำเมี่ยงคำ

น้ำเมี่ยง

1. ขิงซอยบาง + ข่าซอยบาง + ตะไคร้ซอยบาง + หอมแดงซอยบางคั่วแล้วโขลกรวมกับกะปิ
2. น้ำตาลมะพร้าว 1 ถ้วย
3. น้ำสะอาด 1 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
5. กุ้งแห้งโขลกละเอียด
6. มะพร้าวขูดคั่ว
7. ถั่วลิสงคั่วโขลกหยาบ

วิธีทำน้ำราดเมี่ยงคำ

1. นำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำตาลมะพร้าวและน้ำสะอาดลงเคี่ยวสักพัก
2. ใส่ขิงซอยบาง + ข่าซอยบาง + ตะไคร้ซอยบาง + หอมแดงซอยบางคั่วแล้วโขลกรวมกับกะปิลงไป 3. ปรุงรสด้วยน้ำปลา ชิมรสชาติเค็มหวานตามชอบ เคี่ยวให้เหนียว แต่ไม่ต้องเหนียวมาก เพราะพอเย็น
จะเหนียวหนืดเกินไป
4. พอน้ำเมี่ยงเย็น ใส่กุ้งแห้งโขลกละเอียด มะพร้าวขูดคั่ว และถั่วลิสงคั่วโขลกหยาบลงผสมกัน คนให้เข้ากัน

เครื่องเมี่ยง

1. มะพร้าวคั่ว (ใช้มะพร้าวแก่ แต่ไม่แก่จัด เรียกมะพร้าวหนังหมู ไสเป็นชิ้นบาง แล้วซอยให้เท่ากัน คั่วไฟอ่อน จนเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทอง)
2. กุ้งแห้ง ล้างน้ำให้สะอาด
3. มะนาว ติดเปลือก หั่นเป็นชิ้นลูกเต๋า
4. ขิงหั่นเป็นชิ้นลูกเต๋า
5. ถั่วลิสงคั่ว
6. หอมแดงหั่นเป็นชิ้นลูกเต๋า
7. พริกขี้หนู (หั่นชิ้นเล็กหรือลูกโดด)
8. ผักที่ใช้ห่อ ใบทองหลาง หรือ ใบชะพลู

วิธีรับประทานเมี่ยงคำ

ใส่เครื่องเมี่ยงวางบนใบชะพลู และห่อ ตักน้ำเมี่ยงราดลงไป ก็ทานได้แล้วล่ะค่ะ

หมูสามชั้นทอดน้ำปลา

หมูสามชั้นทอดน้ำปลา : หมูสามชั้นทอดกรอบๆ หอมน้ำปลา ทานข้าวสวยหรือข้าวเหนียวก็อร่อย

ส่วนผสมหมูสามชั้นทอดน้ำปลา

1. หมูสามชั้น 500 กรัม
2. น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
3. น้ำเย็นจัด 3 ช้อนโต๊ะ
4. พริกไทยขาวป่น 1 ช้อนชา
5. แป้งข้าวเจ้า 3 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำมันปาล์มสำหรับทอด

วิธีทำหมูสามชั้นทอดน้ำปลา

1. นำหมูสามชั้นมาจิ้มด้วยมีดปลายแหลมหรือส้อมให้ทั่ว (ทั่วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะความอร่อยอยู่ตรงนี้ ยิ่งทั่วรสชาติยิ่งเข้าเนื้อไม่ต้องเสียเวลาหมักนาน)
2. นำน้ำปลาและพริกไทยป่นมาคลุกเคล้าเนื้อหมู นวดให้เข้ากันประมาณ 3 นาที
3. ใส่แป้งข้าวเจ้าและน้ำเย็นจัดลงไปนวดคลุกเคล้าให้เข้ากัน
4. ใส่เนื้อหมูลงทอดในน้ำมันร้อนจัดด้วยไฟกลาง จนสุกเหลืองน่ารับประทาน ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน
5. หั่นเป็นชิ้นพอคำรับ ประทานกับข้าวสวย ส้มตำ หรือแกล้มน้ำจิ้มแจ่ว ก็อร่อยทั้งนั้นค่ะ

กล้วยปิ้ง + น้ำราดกะทิมะพร้าวอ่อน (กล้วยปิ้งมะพร้าวอ่อน)

กล้วยปิ้ง + น้ำราดกะทิมะพร้าวอ่อน
 

ส่วนผสมกล้วยปิ้งมะพร้าวอ่อน

1. กะทิ 250 กรัม
2. น้ำตาลปี๊บ 300 กรัม (ถ้าใครไม่ชอบหวานมากลดปริมาณได้นะครับ)
3. เกลือ 1/2 ช้อนชา
4. แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ (ผสมน้ำ 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน)
5. เนื้อมะพร้าวอ่อน
6. กล้วยน้ำว้าห่าม

วิธีทำกล้วยปิ้งมะพร้าวอ่อน

1. เคี่ยวกะทิและน้ำตาลปี๊บในหม้อด้วยไฟอ่อนจนละลาย จากนั้นเติมเกลือลงไป คนไปเรื่อยๆ ให้กะทิข้น ชิมรสตามชอบ
2. ใส่แป้งมันละลายน้ำลงไป คนให้เข้ากันอีกครั้ง ปิดไฟ พักไว้
3. นำกล้วยน้ำว้าทั้งลูกไปปิ้งให้สุก
4. เมื่อกล้วยสุกแล้วหาถุงพลาสติกมาใส่กล้วย จากนั้นนำไปวางบนเขียงแล้วใช้สากหรืออุปกรณ์อื่นๆ ทับกล้วยให้แบน
5. นำกล้วยที่เราทับวางใส่จาน นำเนื้อมะพร้าวอ่อนไปผสมกับน้ำราดกะทิ แล้วตักราดบนตัวกล้วยปิ้ง เท่านี้ก็พร้อมทานแล้วค่า

ข้าวคลุกกะปิ

ข้าวคลุกกะปิ

ส่วนผสมข้าวคลุกกะปิ

ข้าวคลุกกะปิ

1. กะปิอย่างดี
2. ข้าวสวย (พักให้เย็น)
3. ผงปรุงรสหมู (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
4. น้ำมันพืช
5. กระเทียมสับ

หมูหวาน (แบบไม่ใส่ซีอิ้วดำหวาน แต่จะเคี่ยวน้ำตาลให้เป็นสีน้ำตาลเข้มแทนค่ะ)

1. หมูสามชั้น 1/2 กิโลกรัม
2. น้ำตาลมะพร้าว (หรือน้ำตาลปี๊บ) 3 ช้อนโต๊ะ + น้ำตาลทรายแดง
3. กระเทียม + รากผักชี + พริกไทย + หอมแดง ตำรวมกัน
4. ผงปรุงรสหมู
5. ซีอิ้วขาวพอประมาณ
6. น้ำเปล่าประมาณ 1 แก้ว



ของทานเคียง

กุ้งแห้งทอด กุนเชียงทอด ไข่เจียวหั่นฝอย มะม่วงซอย ถั่วฝักยาวซอย พริกขี้หนูซอย มะนาว

วิธีทำข้าวคลุกกะปิ

หมูหวาน (แบบไม่ใส่ซีอิ้วดำหวาน แต่จะเคี่ยวน้ำตาลให้เป็นสีน้ำตาลเข้มแทนค่ะ)

1. หมูสามชั้นให้เลือกเนื้อหมูที่ไม่แข็งกระด้างมาหั่นเป็นชิ้นหนาตามชอบ
2. นำกระเทียม + รากผักชี + พริกไทย + หอมแดงมาตำรวมกัน พักไว้
3. ใส่น้ำตาลมะพร้าว (หรือน้ำตาลปี๊บ) ลงในกระทะ ยกขึ้นตั้งไฟอ่อนๆ เคี่ยวให้น้ำตาลเริ่มสีเข้ม ใส่น้ำตาลทรายแดงลงไปเคี่ยวต่อด้วยไฟอ่อนๆ จนได้สีน้ำตาลเข้มสวยและมีกลิ่นหอม
3. ใส่ส่วนผสมที่ตำละเอียดในข้อที่ 2 ลงไปผัดคั่วให้หอม
4. ใส่เนื้อหมูลงไปผัด เติมผงปรุงรสหมูและซีอิ้วขาวลงไปพอประมาณ คนให้เข้ากัน
5. เติมน้ำเปล่าลงไปประมาณ 1 แก้ว คนให้เข้ากัน ปิดฝาทิ้งไว้สักพักให้หมูนุ่มได้ที่และน้ำงวดลงพอขลุกขลิก ชิมรสให้ได้ตามชอบ เติมเค็มหวานได้ตามใจชอบ ถ้าน้ำแห้งและหมูยังไม่นุ่ม ให้เติมน้ำอีกได้เล็กน้อยค่ะ เมื่อเนื้อหมูนุ่มได้ที่และน้ำงวดลงแล้ว ปิดเตา ยกลงได้เลยค่ะ

ข้าวคลุกกะปิ

1. ตักข้าวสวยใส่ถ้วยพักไว้ให้เย็นก่อน
2. ตักกะปิใส่ด้วยเล็กเติมน้ำมันพืชลงไปกะปริมาณให้พอบี้กะปิละลาย (จะเติมผงปงรสหมูหรือไก่ลงไปด้วยก็ได้) คนให้เข้ากัน แล้วนำไปเทใส่ชามข้าว คลุกให้เข้ากัน
3. นำกระทะตั้งไฟใส่น้ำมันพอประมาณ ใส่กระเทียมสับลงไปเจียวพอหอม ใส่ข้าวลงไปผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน ชิมรสชาติอย่าให้เค็มมาก เพราะเครื่องเคียงพวกกุนเชียงและหมูหวานก็รสเข้มอยู่แล้ว ปิดเตาไฟ จัดใส่จานทานกับหมูหวานและเครื่องเคียงต่างๆได้เลยค่ะ

ข้าวผัดปู

ข้าวผัดปู
  • การเลือกข้าวที่จะนำมาผัด ควรใช้ข้าวที่หุงออกมาแล้วเป็นเม็ดสวย ยังแข็งอยู่ ไม่บานออก และควรจะให้พักข้าวที่หุงสุกแล้วให้เย็นสนิท หรือเป็นข้าวเก่าก็จะยิ่งดี เพื่อที่ข้าวผัดจะได้ไม่แฉะ
  • เลือกใช้เนื้อปูนึ่ง เพราะจะมีกลิ่นหอมกว่าเนื้อปูต้ม เวลานำมาผัดจะทำให้รสชาติอร่อยกว่า
  • ไม่ควรปรุงรสข้าวผัดด้วยน้ำปลาหรือน้ำมันหอย เพราะนั่นจะทำให้ข้าวผัดปูเสียรสชาติ แถมสีของข้าวผัดก็จะคล้ำ ไม่สวย ให้ใช้เกลือแทนค่ะ
ส่วนผสมข้าวผัดปู

1. ไข่เป็ด
2. ข้าวสวยหุงสุกที่เย็นแล้ว
3. เกลือป่น
4. ซีอิ้วขาว
5. พริกไทยป่น
6. น้ำตาลทราย
7. เนื้อปูแกะ นึ่งสุก
8. ต้นหอมซอย
9. มะเขือเทศเอาไส้เมล็ดออก หั่นชิ้นเล็กๆ
10. น้ำมันพืช

วิธีทำข้าวผัดปู

1. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟให้ร้อน ควรใช้กระทะเหล็กในการผัดเพื่อกระจายความร้อนได้อย่างทั่วถึง
2. ตอกไข่ใส่ลงกระทะ แล้วยีไข่ให้แตก ใส่ข้าวสวยลงไปผัด ใช้ไฟกลางในการผัด
3. ปรุงรสด้วยน้ำตาล เกลือ และซีอิ๊วขาวลงผัดให้เข้ากัน ใส่ต้นหอมซอย มะเขือเทศ และเนื้อปูนึ่งลงไปผัดกับข้าว เพิ่มไฟแรง สะบัดกระทะเพื่อให้มีกลิ่นหอมของกระทะ และผัดจนกว่าข้าวจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน ปิดเตาไฟ
4. ตักข้าวผัดใส่จาน สุดท้ายโรยพริกไทยป่น รับประทานกับแตงกวา ต้นหอม และน้ำปลาพริกได้เลยค่ะ

บัวลอยฟักทอง

บัวลอยฟักทอง

ส่วนผสมบัวลอยฟักทอง

1. แป้งข้าวเหนียวประมาณ 1/2 - 1 ถ้วย
2. ฟักทองต้มบด 1/2 ถ้วย (เปลี่ยนเป็นเผือกนึ่งบด มันม่วง แครอท อื่นๆได้ตามชอบเลยค่ะ)
3. หัวกะทิ 1 ถ้วย (ใช้มะพร้าวขูด 1/2 กิโลกรัม ต่อน้ำอุ่น 1 ถ้วย)
4. น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
5. น้ำตาลปี๊บ
6. เกลือนิดหน่อย (ปลายช้อนชา)
7. หางกะทิ

วิธีทำบัวลอยฟักทอง

1. นำเนื้อฟักทองใส่ภาชนะแล้วยีให้ละเอียด จากนั้นค่อยๆใส่แป้งข้าวเหนียวลงผสม แล้วนวดไปเรื่อยๆให้เข้ากัน อาจนวดนานนิดนึง เพื่อให้เข้าเนื้อกันนะคะ ถ้าเหลวไปยังปั้นไม่ได้ ให้ค่อยๆเติมแป้งลงไปทีละน้อย นวดไปเรื่อยๆจนปั้นได้ จึงปั้นก้อนกลม รอไว้
2. เติมน้ำตาลทรายและน้ำตาลปี๊บใส่ผสมกับหัวกะทิ ใส่เกลือตามลงไป แล้วคนผสมจนน้ำตาลละลาย ชิมรสที่หวานตามต้องการ จึงนำขึ้นตั้งไฟกลางแค่พออุ่นจัด แต่ไม่ให้เดือด แล้วปิดไฟ
3. จากนั้นนำหางกะทิใส่หม้ออีกใบ ตั้งไฟให้เดือด ใส่บัวลอยที่ปั้นไว้ลงต้ม พอแป้งลอยขึ้นมา จึงตักออกใส่ลงในน้ำกะทิที่อุ่นรออยู่ คนให้เข้ากันก็กินได้แล้วค่ะ
4. พอตักใส่ถ้วยจะกินก็ตักกะทิสดข้นๆราดอีกที อร่อย นุ่มมากค่ะ

บัวลอยใบเตย

บัวลอยใบเตย

ส่วนผสมบัวลอยใบเตย

1. แป้งข้าวเหนียว 1/2 ถ้วย
2. น้ำใบเตยเข้มข้นต้ม 1/2 ถ้วย (เปลี่ยนเป็นน้ำอัญชัน หรือน้ำสีธรรมชาติอื่นๆได้ตามชอบเลยค่ะ)
3. หัวกะทิ 1 ถ้วย (ใช้มะพร้าวขูด 1/2 กิโลกรัม ต่อน้ำอุ่น 1 ถ้วย)
4. น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
5. น้ำตาลปี๊บ
6. เกลือนิดหน่อย (ปลายช้อนชา)
7. หางกะทิ

วิธีทำบัวลอยใบเตย

1. นำแป้งข้าวเหนียวส่วนหนึ่งใส่ภาชนะ แล้วค่อยๆใส่น้ำคั้นใบเตยลงไปทีละน้อย นวดให้เข้ากันจนแป้งปั้นได้ (ถ้าเหลวไปเติมแป้งเพิ่มค่ะ ร่วนไปเติมน้ำใบเตยค่ะ) จากนั้นปั้นเป็นเม็ดกลมรอไว้
2. เติมน้ำตาลทรายและน้ำตาลปี๊บใส่ผสมกับหัวกะทิ ใส่เกลือตามลงไป แล้วคนผสมจนน้ำตาลละลาย ชิมรสที่หวานตามต้องการ จึงนำขึ้นตั้งไฟกลางแค่พออุ่นจัด แต่ไม่ให้เดือด แล้วปิดไฟ
3. จากนั้นนำหางกะทิใส่หม้ออีกใบ ตั้งไฟให้เดือด ใส่บัวลอยที่ปั้นไว้ลงต้ม พอแป้งลอยขึ้นมา จึงตักออกใส่ลงในน้ำกะทิที่อุ่นรออยู่ คนให้เข้ากันก็กินได้แล้วค่ะ
4. พอตักใส่ถ้วยจะกินก็ตักกะทิสดข้นๆราดอีกที อร่อย นุ่มมากค่ะ

หมูแดงและน้ำราดหมูแดง

หมูแดงและน้ำราดหมูแดง

ส่วนผสมหมูแดงและน้ำราดหมูแดง

หมูแดง

1. หมูเนื้อแดงติดมันหั่นเป็นชิ้นยาวๆ 1/2 กิโลกรัม
2. น้ำมันงา 1 ช้อนชา
3. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
4. สีผสมอาหารสีแดง 1/2 ช้อนชา
5. ผงพะโล้ 1 ช้อนโต๊ะ
6. ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
7. เกลือ 1/2 ช้อนชา

น้ำราดข้าวหมูแดง

1. ผงพะโล้ 1 ช้อนโต๊ะ
2. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
3. ซีอิ้วขาว 1 ช้อนชา
4. สีผสมอาหารสีแดง 1/2 ช้อนชา
5. น้ำมันงา 1 ช้อนชา
6. แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ + น้ำเปล่า 3 ช้อนโต๊ะ
7. น้ำเปล่า 1 ลิตร (หรือ นำน้ำที่เหลือจากการหมักหมูมารวมด้วยก็ได้ค่ะ)
8. งาขาวคั่วสุก 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำหมูแดงและน้ำราดหมูแดง

1. คลุกเคล้าเนื้อหมูกับน้ำมันงา น้ำตาล ซีอิ๊วขาว สีผสมอาหารสีแดง ผงพะโล้ และเกลือ แล้วหมักทิ้งไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมง
2. นำเนื้อหมูที่หมักได้ ไปย่างหรืออบจนสุก หั่นเป็นชิ้นบางๆ เตรียมไว้
3. ทำน้ำราดหมูแดง โดยนำผงพะโล้ น้ำตาลทราย ซีอิ้วขาว สีผสมอาหารสีแดง น้ำมันงา และน้ำเปล่าลงผสมให้เข้ากัน แล้วยกขึ้นตั้งไฟ รอจนเดือด
4. นำแป้งมันมาละลายด้วยน้ำเปล่า ผสมให้เข้ากัน ใส่ลงไป คนให้เข้ากัน ใส่งาขาวคั่วลงไปคนให้กระจายทั่ว ปิดไฟแล้วยกลง
5. ตักข้าวแล้ววางหมูแดงลงไป นอกจากหมูแดงแล้ว อาจจะมีกุนเชียงทอด ไข่ต้ม ต้นหอมทานเคียงด้วยก็ได้นะคะ ราดด้วยน้ำราดข้าวหมูแดง ทานพร้อมน้ำจิ้มข้าวหมูแดงก็อิ่มอร่อยได้แล้วค่ะ

ส่วนผสมและวิธีทำน้ำจิ้มข้าวหมูแดง

พริกขี้ฟ้าสดหั่นหนาๆ หรือพริกขี้หนูหั่น ผสมกับน้ำส้มสายชู ใส่ซีอิ้วดำ น้ำตาลทราย เกลือ คนให้เข้ากัน ก็เป็นอันเสร็จค่ะ

น้ำมะขาม

น้ำมะขาม รสเปรี้ยวหวานอร่อย ทานใส่น้ำแข็งเย็นสดชื่นดีมากๆ เข้ากับอากาศร้อนของบ้านเราที่สุดเลยค่ะ

ส่วนผสมน้ำมะขาม

1. มะขามเปียก 1 ปั้น
2. น้ำเปล่าประมาณ 2 ลิตร
3. น้ำตาลทรายตามชอบ (ก็ขึ้นอยู่กับว่าชอบหวานแค่ไหนค่ะ ชอบหวานมากก็ใส่เยอะ ชิมรสชาติตามที่พอใจได้เลยค่ะ)
4. เกลือป่นนิดหน่อย

วิธีทำน้ำมะขาม

1. ต้มมะขามเปียกในน้ำให้เดือดสักพัก ปิดไฟ (หรือคั้นน้ำมะขามเปียกก่อนค่อยเอาไปต้มก็ได้ค่ะ)
2. กรองเอาแต่น้ำ นำขึ้นตั้งไฟอีกครั้ง
3. เติมน้ำตาลทรายและเกลือเล็กน้อย ชิมรสชาติเปรี้ยวอมหวานตามชอบ พักให้เย็น
4. ใส่น้ำแข็งดื่มได้เลยค่ะ

ข้าวเหนียวมูนใบเตย

ข้าวเหนียวมูนใบเตย

ส่วนผสมข้าวเหนียวมูนใบเตย

1. ข้าวเหนียวเขี้ยวงู 1 กิโลกรัม
2. มะพร้าวขูด 1/2 กิโลกรัม
3. ใบเตย 6 ใบ
4. น้ำอุ่น 1 + 1/2 ถ้วย
5. น้ำตาลทราย 600 กรัม
6. เกลือป่น 1 ช้อนชา

วิธีทำข้าวเหนียวมูนใบเตย

1. นำข้าวเหนียวเขี้ยวงูมาแช่น้ำ 3 ชั่วโมง เมื่อครบเวลาสรงขึ้นให้สะเด็ดน้ำ นำลงนึ่งในลังถึง 15 นาที เมื่อครบ 15 นาทีให้คนพลิกด้านล่างขึ้นด้วยไม้พาย แล้วนึ่งต่ออีก 15 นาที จะได้สุกทั่วกัน
2. จากนั้นทำน้ำกะทิใบเตยไว้มูนข้าวเหนียวกันค่ะ โดยหั่นใบเตยเป็นชิ้นเล็ก แล้วนำมาปั่นกับน้ำอุ่น คั้นกรองเอาแต่น้ำใบเตย แล้วนำน้ำไปเตยที่ได้ไปตั้งไฟพอเดือด พักไว้ให้คลายความร้อน
3. เมื่อน้ำใบเตยคลายความร้อนแล้วนำมาคั้นกับมะพร้าวขูด จนได้น้ำกะทิสีเขียวสวย แล้วจึงนำกะทิไปตั้งไฟ เติมน้ำตาลทรายและเกลือ คนให้เข้ากัน ต้มให้พอเดือด แต่ไม่ต้องแตกมัน เสร็จแล้วนำมามูนกับข้าวเหนียวร้อนๆใช้ไม้พายคนให้ทั่ว ปิดฝามูนไว้จนได้ที่ แล้วจึงตักเสิร์ฟทานพร้อมมะม่วงสุกเหลืองทองได้เลยค่ะ

ฉู่ฉี่ปลาทู

ฉู่ฉี่ปลาทู : รสชาติหวานๆ เค็มๆ มันๆ หอมเครื่องแกง ทานกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยสุดๆเลยนะคะ

ส่วนผสมฉู่ฉี่ปลาทู

1. หัวกะทิ
2. หางกะทิ
3. ปลาทูสด (ควักไส้ทิ้ง ล้างสะอาด ซับแห้ง บั้งให้สวยงาม) (หรือจะใส่กุ้ง ปลาเนื้ออ่อน ปลาลังสดแทนก็ได้นะคะ)
4. น้ำตาลมะพร้าว
5. น้ำปลา
6. เกลือป่น
7. เครื่องแกงฉู่ฉี่ (ข่าแก่ซอย โคนตะไคร้ซอย ผิวมะกรูดซอย รากผักชีซอย หอมแดงซอย กระเทียมไทยซอย พริกชี้ฟ้าแห้งและพริกขี้หนูแห้งแช่น้ำให้นุ่ม กรีดเม็ดทิ้ง เกลือ กะปิ) โขลกเกลือกับพริกแห้ง ใส่เครื่องที่เหลือหอมแดงและกะปิ ใส่สุดท้ายค่ะ
8. พริกชี้ฟ้าแดงซอยบาง
9. ใบมะกรูด ฉีก ซอยบาง
10. ผักชี

วิธีทำฉู่ฉี่ปลาทู

1. ตั้งกระทะไฟกลางค่อนไปทางอ่อน ใส่หัวกะทิเคี่ยวให้แตกมัน ระหว่างเคี่ยวให้หมั่นคนเรื่อยๆค่ะ แล้วแบ่งหัวกะทิข้นๆใส่ถ้วยไว้สำหรับหยอดหน้านิดหน่อยค่ะ
2. จากนั้นใส่เครื่องแกงฉู่ฉี่ลงผัดกับหัวกะทิให้สุกหอม ค่อยๆหยอดหัวกะทิข้างกระทะ หยอดทีละนิด
3. ใส่หางกะทิ ปรุงรสด้วยน้ำตาลมะพร้าว เกลือป่น และน้ำปลา คนให้เข้ากัน
4. เมื่อเดือดหย่อนปลาลงไป ปรับเป็นไฟอ่อน ปิดฝา รอจนปลาสุก ค่อยพลิกอีกด้าน ปิดฝา (ตอนใส่ปลา ลดไฟนะคะ ปิดฝาไว้จะได้สุกเร็ว เครื่องแกงไม่ไหม้และไม่ต้องกลับปลาบ่อยค่ะ ใช้เวลาประมาณ 5 นาที ปลาก็สุกแล้วค่ะ)
5. ใส่ใบมะกรูดซอยบางๆลงไป เมื่อหอม ปิดไฟ ราดหัวกะทิอีกครั้ง
6. โรยหน้าพริกชี้ฟ้าแดงซอยและผักชี ก็พร้อมเสิร์ฟแล้วค่ะ

คั่วกลิ้งหมู

คั่วกลิ้งหมู เมนูอาหารใต้ที่ทำไม่ยุ่งยาก

ส่วนผสมคั่วกลิ้งหมู

1. หมูสันนอก 3 ขีด
2. พริกแกงใต้ 1 + 1/2 ช้อน
3. กะปิ 1 ช้อนชา
4. น้ำตาล
5. ตะไคร้ซอย
6. ใบมะกรูดซอย
7. กะทินิดหน่อย

วิธีทำคั่วกลิ้งหมู

1. นำเนื้อหมูมาหั่นชิ้นหรือจะสับก็ได้ ตั้งกระทะใส่น้ำมันนิดหน่อย รอให้ร้อน ใส่เนื้อหมูลงผัดให้เกือบสุกใส่พริกแกงใต้และกะปิลงไป หยอดน้ำนิดๆให้เครื่องแกงละลายและไม่ไหม้ค่ะ ผัดให้เข้ากัน
2. ใส่ตะไคร้กับใบมะกรูดซอยลงไปผัด ใส่น้ำกะทิลงไปนิดหน่อยให้เนื้อหมูดูชุ่มฉ่ำ ไม่แห้งเกินไป ผัดไปจนเครื่องแกงแห้งเข้าเนื้อ แล้วซอยใบมะกรูดโรยอีกรอบก็เรียบร้อยค่ะ ตักใส่จานทานกับข้าวสวยได้เลยค่า

วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559

สังขยาอโวคาโด

สังขยาอโวคาโด : อร่อยดีและได้ประโยชน์จากอโวคาโด ไม่มีส่วนผสมของไข่แดง เติมกลิ่นใบเตยนิดหน่อยให้หอมน่าทานมายิ่งขึ้น สูตรสังขยานี้ทานกับขนมปัง/ปาท่องโก๋ (เจทานได้)

ส่วนผสมสังขยาอโวคาโด

1. อโวคาโดสุก 1/4 ถ้วยตวง (หรือ 50 กรัม หรือ ประมาณ 1/2 ผลขนาดกลาง)
2. แป้งข้าวโพดหรือแป้งสาลีอเนกประสงค์ 2 ช้อนโต๊ะ
3. น้ำตาลทราย 3-4 ช้อนโต๊ะ หรือตามความหวานที่ชอบ
4. กะทิ 3/4 ถ้วยตวง (ใช้นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ หรือนมชนิดอื่น แทนได้)
5. กลิ่นใบเตยนิดหน่อย

วิธีทำสังขยาอโวคาโด 

นำอโวคาโดกับกะทิไปปั่นให้เนียน แล้วใส่ทุกอย่างผสมรวมกัน นำเข้าไมโครเวฟ 2-3 นาที พอเย็นแล้วสังขยาอโวคาโดของเราจะข้นขึ้นอีก พร้อมทานแล้วค่ะ

สังขยาเจ

สังขยาเจ : สังขยาสำหรับทานกับขนมปังหรือปาท่องโก๋ ถ้าทำข้นหน่อยสามารถนำไปเป็นไส้ขนมอื่นๆได้ สังขยาเจถ้วยนี้ใช้เต้าหู้อ่อนแทนไข่ไก่ค่ะ ผู้ทานมังสวิรัตก็ทานได้นะคะ

ส่วนผสมสังขยาเจ

1. เต้าหู้อ่อน 1/4 ถ้วยตวง (ใช้เต้าหู้อ่อนที่นิ่มๆคล้ายเต้าหู้ไข่)
2. น้ำกะทิ 3/4 ถ้วยตวง (ใช้นมถั่วเหลืองหรือนมอัลมอนแทนได้ หรือจะใช้ผสมกันก็ได้)
3. น้ำใบเตย 1/4 ถ้วยตวง (ใช้น้ำดอกอัญชัน ชาไทย ชาเขียว หรืออื่นๆตามชอบได้)
4. น้ำตาลทราย 4 ช้อนโต๊ะ หรือมากน้อยตามความหวานที่ชอบ
5. แป้งข้าวโพด 1-2 ช้อนโต๊ะ (ใช้แป้งเค้ก แป้งสาลีอเนกประสงค์แทนได้)
6. กลิ่นวานิลานิดหน่อย หรือกลิ่นอื่นตามชอบ (กรณีที่น้ำที่ใช้ไม่มีกลิ่นหอม จึงใส่กลิ่น)

วิธีทำสังขยาเจ

1. บดเต้าหู้อ่อนให้ละเอียด (เราใช้วิธีปั่นโดยใส่เต้าหู้อ่อนกับน้ำกะทิ หรือน้ำดอกอัญชัน นิดหน่อยพอให้ปั่นได้ แล้วปั่นจนละเอียด)
2. เสร็จแล้วผสมเต้าหู้บดและเครื่องประกอบอื่นๆรวมกัน ตีให้แป้งละลายดี
3. นำไปกวนด้วยไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน กวนไปเรื่อยๆจนส่วนผสมข้นตามชอบ ยกลงได้

เอแคลร์ไส้สังขยาใบเตย

เอแคลร์ไส้สังขยาใบเตย (เอแคลร์ไส้ใบเตย)

ส่วนผสมและวิธีทำเอแคลร์ไส้สังขยาใบเตย (เอแคลร์ไส้ใบเตย)

ตัวแป้งเอแคลร์

1. นม 250 กรัม
2. เนย 120 กรัม
3. เกลือ 5 กรัม (หรือ 1 ช้อนชา)
4. น้ำตาลทราย 20 กรัม (หรือ 2 ช้อนชา)
5. แป้งเค้ก 160 กรัม
6. ไข่ไก่ 5 ฟอง (หรือ 250 กรัม)

1. เปิดเตาอบรอ ใช้ความร้อนบนล่าง 190 องศา
2. นำนม เนย เกลือ และน้ำตาลใส่หม้อ แล้วยกขึ้นตั้งบนเตา พอเริ่มเดือดนิดๆให้ร่อนแป้งเค้กลงไป จากนั้นใช้ทัพพีคนไปมาจนแป้งจับตัวเป็นก้อน แล้วนำใส่ภาชนะหรืออ่างผสม
3. ตอกไข่ไก่ตีให้เข้ากัน แล้วค่อยๆเทไข่ลงไปในแป้งทีละน้อย (ทำตอนที่แป้งกำลังร้อนๆค่ะ) แล้วใช้ไม่พายตีๆให้เข้ากัน ทำแบบนี้ซ้ำไปมาจนกว่าแป้งจะมีความยืดหยุ่นขึ้น ข้นขึ้น และเนียน
4. จากนั้นนำแป้งใส่ที่บีบ บีบแป้งลงบนกระดาษไข บีบลักษณะแบบขนมอาลัวขนาดตามชอบ นำเข้าอบด้วยความร้อน 180 องศา ประมาณ 25 นาที หรือจนแป้งพองสีทองค่ะ อบเสร็จแล้วนำออกพักให้เย็นแล้วจึงบีบไส้เอแคลร์

ไส้สังขยาใบเตย

1. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 75 กรัม
2. กะทิอร่อยดีแบบถุง 400 กรัม
3. ไข่ไก่ 3 ฟอง
4. น้ำตาลทราย 250 กรัม
5. เกลือ 1/2 ช้อนชา
6. น้ำใบเตยเข้มข้น 100 กรัม

ผสมแป้งสาลีอเนกประสงค์ กะทิอร่อยดี น้ำตาลทราย ไข่ไก่ และเกลือลงในหม้อ กวนด้วยตะกร้อมือเร็วๆจนละลายผสมเป็นเนื้อเดียวกัน นำขึ้นตั้งไฟกวนจนข้น เติมน้ำใบเตยเข้มข้นกวนต่อจนแป้งสุกใส (เมื่อสังขยาเริ่มจับตัวเป็นก้อน กวนช้าลงได้สักพัก และเริ่มจับตัวมากขึ้นต้องกวนเร็วๆ เพื่อไม่ให้สังขยาออกมาเป็นก้อน วิธีนี้จะทำให้ได้เนื้อสังขยาที่เนียนและมัน เวลาทานจะรับรู้ถึงความเนียนและมันของเนื้อสังขยาค่ะ) เสร็จแล้วก็ปิดไฟ พักไว้ให้เย็น ก็บีบไส้สังขยาใส่ตัวแป้งเอแคลร์ได้เลยค่ะ

เอแคลร์ไส้ครีม

เอแคลร์ไส้ครีม

ส่วนผสมและวิธีทำเอแคลร์ไส้ครีม

ตัวแป้งเอแคลร์

1. นม 250 กรัม
2. เนย 120 กรัม
3. เกลือ 5 กรัม (หรือ 1 ช้อนชา)
4. น้ำตาลทราย 20 กรัม (หรือ 2 ช้อนชา)
5. แป้งเค้ก 160 กรัม
6. ไข่ไก่ 5 ฟอง (หรือ 250 กรัม)

1. เปิดเตาอบรอ ใช้ความร้อนบนล่าง 190 องศา
2. นำนม เนย เกลือ และน้ำตาลใส่หม้อ แล้วยกขึ้นตั้งบนเตา พอเริ่มเดือดนิดๆให้ร่อนแป้งเค้กลงไป จากนั้นใช้ทัพพีคนไปมาจนแป้งจับตัวเป็นก้อน แล้วนำใส่ภาชนะหรืออ่างผสม
3. ตอกไข่ไก่ตีให้เข้ากัน แล้วค่อยๆเทไข่ลงไปในแป้งทีละน้อย (ทำตอนที่แป้งกำลังร้อนๆค่ะ) แล้วใช้ไม่พายตีๆให้เข้ากัน ทำแบบนี้ซ้ำไปมาจนกว่าแป้งจะมีความยืดหยุ่นขึ้น ข้นขึ้น และเนียน
4. จากนั้นนำแป้งใส่ที่บีบ บีบแป้งลงบนกระดาษไข บีบลักษณะแบบขนมอาลัวขนาดตามชอบ นำเข้าอบด้วยความร้อน 180 องศา ประมาณ 25 นาที หรือจนแป้งพองสีทองค่ะ อบเสร็จแล้วนำออกพักให้เย็นแล้วจึงบีบไส้เอแคลร์

ไส้ครีม

1. ไข่ไก่ 4 ฟอง
2. นมจืด 300 กรัม
3. น้ำตาลทราย 230 กรัม
4. กลิ่นวานิลา
5. เนยเค็ม 110 กรัม
6. แป้งสาลี 60 กรัม

1. นำนมสด ไข่ไก่ และน้ำตาลทรายมาตีรวมกัน จากนั้นกรองด้วยผ้าขาวบางหรือตะแกรงใส่ลงในอ่างโลหะ ใส่กลิ่นวานิลาตามลงไป
2. จากนั้นตั้งหม้อใส่น้ำตั้งให้เดือด นำอ่างที่ผสมไส้ครีมตั้งบนหม้อน้ำ แล้วปรับความร้อนลง ใช้ตะกร้อคนไปทางเดียวกัน คนไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมเริ่มข้นขึ้น จากนั้นใส่เนยเค็มลงไป คนไปเรื่อยจนทุกอย่างเข้ากัน ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ปิดไฟหาพลาสติกแรปปิดหน้าครีมไว้กันแห้ง พักให้เย็น จากนั้นนำไปบีบใส่ในตัวแป้งเอแคลร์ได้เลยค่า

ขนมใส่ไส้

ขนมใส่ไส้

ส่วนผสมขนมใส่ไส้

ไส้ขนม

1. มะพร้าวทึนทึกขูดเส้น 1/2 กิโลกรัม
2. น้ำตาลปี๊ป 1/2 กิโลกรัม
3. น้ำตาลอ้อย 1 ช้อนโต๊ะ (เพื่อใส้สีสวย)
4. แป้งข้าวเหนียว 3 ช้อนโต๊ะ (ให้ผสมน้ำนิดหน่อยไว้ค่ะ)
5. เทียนอบ

1. นำน้ำตาลปี๊ปใส่กระทะใส่น้ำเปล่านิดหน่อยเคี่ยวด้วยไฟกลาง พอน้ำตาลละลายใส่มะพร้าวทึนทึกขูดเส้นลงกวนให้เข้ากัน ใส่น้ำตาลอ้อยลงไปกวนจนเหนียว
2. ใส่แป้งข้าวเหนียวที่ละลายน้ำไว้ลงคนให้เข้ากัน (แป้งข้าวหนียวจะช่วยให้ไส้นุ่มค่ะ) กวนจนแห้งพอปั้นได้ ยกลงพักไว้ให้เย็น แล้วอบด้วยเทียนอบ หลังจากอบควันเทียนเสร็จแล้ว นำมาปั้นเป็นก้อนกลมขนาดพอประมาณ

ตัวขนม (แป้งห่อไส้)

1. แป่งข้าวเหนียว 1/2 กิโลกรัม
2. แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ
3. น้ำใบเตยคั้นข้นๆ 1 ถ้วย

1. ผสมแป้งข้าวเหนียวและแป้งมันรวมกันในชามผสม ค่อยๆใส่น้ำใบเตยคั้นข้นๆลงนวดให้เข้ากัน (ถ้าน้ำใบเตยน้อยไปใช้น้ำเปล่าได้) ให้นวดแป้งจนแป้งมีลักษณะอ่อน เพราะเวลานึ่งจะสุกง่าย
2. นำแป้งที่นวดได้ที่มาหุ้มไส้ขนมที่ปั้นไว้ ปั้นเป็นลูกๆเสร็จแล้วมาทำหน้าขนมกันต่อค่ะ

หน้าขนม

1. กะทิคั้นข้นประมาณ 6 ถ้วย (หรือถ้าจะใช้กะทิกล่องก็ได้ กล่องใหญ่ 1 กล่องผสมน้ำเท่าตัวค่ะ)
2. แป้งข้าวจ้าว 300 กรัม
3. เกลือป่น
4. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
5. แป้งถั่วเขียว 2 ช้อนโต๊ะ

1. เทน้ำกะทิใส่หม้อ ใส่แป้งข้าวจ้าว แป้งถั่วเขียว เกลือ และน้ำตาลทรายลงคนให้เข้ากัน
2. นำขึ้นตั้งไฟกลาง คนตลอดเวลากันก้นหม้อไหม้ กวนจนข้นขาว สังเกตดูถ้าหน้าขนมเริ่มเดือดแบบปุดๆ แต่ไม่ข้นให้ผสมแป้งข้าวจ้าวกับน้ำนิดหน่อยลงไปคนให้ละลาย เติมลงไปกวนจนกะทิข้น (ยกไม้พายขึ้นดูแป้งจะต้องไม่ไหล) เมื่อหน้าขนมข้นได้ที่แล้วยกลง

วิธีทำขนมใส่ไส้

1. เมื่อเตรียมทุกอย่างครบแล้ว นำตัวขนมที่ห่อไส้ไว้มาห่อใบตอง โดยการตักหน้าขนมหยอดลงไปที่ใบตองก่อนนิดหน่อย วางตัวขนมตามลงไป แล้วตักหน้าขนมราดทับตับขนมอีกที ห่อและกลัดไม้ให้สวยงาม
2. นำไปนึ่งด้วยไฟแรงประมาณ 10-15 นาที ดูว่าขนมสุกหรือยังก็ให้นำขนมมาแกะดู ถ้าตัวขนมสุกนิ่มก็เป็นอันใช้ได้ค่ะ

ข้าวเหนียวตาล

ข้าวเหนียวตาล รสชาติหวาน มัน เค็ม ครบทุกรส และยังหอมเนื้อตาลสุดๆ ลองทำทานกันดูนะคะ

ส่วนผสมข้าวเหนียวตาล

1. ข้าวเหนียวเขี้ยวงู 2 ถ้วยตวง (นำมาแช่น้ำ 3 ชั่วโมง)
2. เนื้อตาล 100 กรัม
3. กะทิ 1 ถ้วย
4. น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
5. เกลือ 1/2 ช้อนชา
6. มะพร้าวทึนทึกขูด 1/2 ถ้วย

วิธีทำข้าวเหนียวตาล

1. ผสมกะทิ + น้ำตาลทราย + เกลือลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟพอเดือด แล้วยกลงมาคนต่อให้พออุ่น
2. นำข้าวเหนียวขึ้นสะเด็ดน้ำใส่ลงไป ตามด้วยเนื้อตาลลงไปในหม้อกะทิ คนให้เข้ากันทิ้งไว้ 5-10 นาที (เรียกว่าวิธีนี้ มูนดิบ)
3. จากนั้นตักใส่กระทงใบตองให้เต็ม โรยมะพร้าวทึนทึกขูดที่คลุกเกลือเล็กน้อยลงไป หรือจะห่อใบตองก็ได้นะคะ
4. นำลงลังถึงนึ่งในน้ำเดือดประมาณ 20 นาที เราก็จะได้ข้าวเหนียวตาลไว้ทานแล้วล่ะค่ะ

ขนมผิง

ขนมผิง

ส่วนผสมขนมผิง

1. แป้งมัน 500 กรัม
2. น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วยตวง
3. หัวกะทิ 1 + 1/4 ถ้วยตวง
4. ไข่แดง 1 ฟอง (ได้จากไข่ไก่ (เบอร์ 2) 1 ฟองค่ะ)
5. กลิ่นมะลิ 1/2 ช้อนชา
6. เทียนอบ

วิธีทำขนมผิง

1. นำหัวกะทิตั้งไฟอ่อนเคี่ยว เติมน้ำตาลทรายลงไปเคี่ยวจนน้ำตาลละลายดี (เคี่ยวไปอย่าหยุดมือนะคะ) เคี่ยวอีกสักพักให้น้ำกะทิลงไปเคี่ยวให้เหนียว แต่อย่าให้กะทิเดือด พักไว้ หรือวางไว้ในถาดที่รองน้ำเย็นไว้
2. พอน้ำกะทิเริ่มอุ่นค่อนไปทางเย็น ตีไข่แดงพอแตกลงไปผสมในน้ำกะทิ คนให้เข้ากันดี
3. ร่อนแป้งที่ตวงไว้แล้วใส่ในชามผสม อบควันเทียนหนึ่งรอบ
4. จากนั้นแบ่งตรงกลางแป้งให้เป็นแอ่ง เติมน้ำกะทิลงไปทีละน้อย นวดจนแป้งเนียนดี ไม่เหลวหรือแข็งจนเกินไป พักแป้งไว้ 8 ชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้นก็ได้
5. นำแป้งที่พักดีแล้ว มาปั้นเป็นก้อนกลมขนาดเท่าปลายนิ้ว เรียงบนถาดที่ทาน้ำมันแล้ว เข้าอบไฟ 165 องศาเซลเซียส เวลาประมาณ 15-20 นาที
6. เช็คขนมว่าสุกหรือยังด้วยการชิมดูค่ะ ถ้าขนมสุกจะเป็นก้อนแข็งละลายดีเมื่อเข้าปาก
7. นำขนมผิงที่อบสุกแล้วมาใส่ชามผสม อบควันเทียน 2 รอบ แต่ละรอบใช้เวลา 1/2 ชั่วโมงโดยประมาณ เสร็จแล้วเก็บใส่ภาชนะหรือถุงที่ปิดสนิทค่ะ

ข้าวเหนียวเปียกลำไย

ข้าวเหนียวเปียกลำไย สูตรนี้จะแตกต่างจากข้าวเหนียวเปียกทั่วไปก็คือต้องทำลำไยเชื่อมแยกไว้ต่างหาก เมื่อจะรับประทานค่อยตักใส่ไป โดยปกติแล้วเราจะนำลำไยเชื่อมเทในไปในหม้อข้าวเหนียวที่ต้มไว้เลยใช่ไหมล่ะคะ..? แต่วิธีนี้เราจะเก็บไว้ทานครั้งต่อไปได้นานขึ้นนะคะ

ส่วนผสมข้าวเหนียวเปียกลำไย

1. ข้าวเหนียวเขี้ยวงู 2 ถ้วยตวง (ข้าวเหนียวควรใช้ข้าวเหนียวเก่า เพราะเหมาะกับการต้ม ถ้าเป็นข้าวเหนียวใหม่ จะเหมาะกับการนึ่งค่ะ)
2. น้ำมะพร้าว 2-3  ถ้วยตวง (ถ้าไม่มีใช้น้ำเปล่า)
3. น้ำมะพร้าว 2 ถ้วยตวง (สำหรับเชื่อมลำไย)
4. น้ำตาลทราย 350 กรัม (ชอบหวานเพิ่มได้)
5. ใบเตยหอมมัดรวมกัน 6 ใบ
6. หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง
7. เกลือป่น 1 ช้อนชา (สำหรับต้มข้าวเหนียว)
8. เกลือป่น 1 ช้อนชา (สำหรับเคี่ยวหัวกะทิ)
9. ลำไยแกะเปลือก แคะเมล็ดออก ปริมาณมากน้อยตามชอบ

วิธีทำข้าวเหนียวเปียกลำไย

1. นำข้าวเหนียวมาล้างน้ำโดยซาวน้ำหลายๆครั้ง แล้วแช่ต่ออีกประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นซาวข้าวขึ้นใส่ตะแกรง พักให้สะเด็ดน้ำ รอไว้
2. นำหม้อตั้งไฟ ใส่น้ำมะพร้าว (หรือน้ำเปล่า) ใบเตยที่มัดไว้ และเกลือป่นลงไป เร่งไฟจนน้ำเดือด ใส่ข้าวเหนียวที่พักไว้ลงไป ใช้ทัพพีคนข้าวเหนียวให้กระจายตัว หรี่ไฟกลางๆ ต้มต่อประมาณ 2-3 นาที หมั่นคนบ่อยๆ ไม่เช่นนั้นข้าวเหนียวจะติดก้น ระหว่างต้มคอยสังเกตดูด้วย ถ้าเม็ดข้าวเริ่มบานเล็กน้อย และมีเม็ดใสๆ ให้ปิดไฟเตาได้เลย

(สูตรนี้ไม่ควรต้มนานเพราะข้าวเหนียวได้ผ่านการแช่น้ำมาแล้ว เนื้อข้าวมีความนุ่มนิ่ม จากนั้นข้าวที่เดือดแล้ว จะแช่ตัวอยู่ในน้ำอุ่นจนน้ำต้มข้าวเย็น เม็ดข้าวจะบานขึ้นอีก)

3. ต่อมาให้นำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมะพร้าว (หรือน้ำเปล่า) น้ำตาลทราย และมัดใบเตยหอมใส่ลงไป พอน้ำตาลเดือด หรี่ไฟอ่อนๆ ใส่เนื้อลำไยลงเชื่อม (ถ้าชอบกรุบกรอบไม่ต้องเชื่อมนาน) ปิดไฟแล้วช้อนเนื้อลำไยขึ้นใส่ชาม พักไว้ ส่วนน้ำเชื่อมจะเทใส่ไปในข้าวเหนียวก็ได้หรือแยกไว้ต่างหาก เพื่อเป็นน้ำราดตอนเสิร์ฟก็ได้

(ส่วนน้ำเชื่อมให้ชิมก่อน ชอบหวานมากน้อยค่อยๆ เพิ่มน้ำตาลทรายลงไป)

4. นำหม้ออีกใบตั้งไฟ ใส่หัวกะทิและเกลือป่นลงไปต้มให้เดือดปุดๆ แต่ไม่ต้องให้แตกมัน ก็ปิดไฟเตาเตรียมจัดเสิร์ฟได้เลยค่ะ
5. ตักข้าวเหนียวใส่ถ้วย ตักลำไยเชื่อมใส่ลงไปมากน้อยตามชอบ ราดด้วยหัวกะทิอุ่นๆลงไปมากน้อยตามชอบอีกเช่นกันค่ะ เท่านี้ข้าวเหนียวเปียกลำไยก็พร้อมทานแล้วค่ะ

ข้าวเกรียบปากหม้อ

ข้าวเกรียบปากหม้อ

อุปกรณ์ที่ต้องใช้ :
หม้อปากกว้าง + ผ้าขาว (ผ้าโทเลย์) เชือกรัดปากหม้อ + ไม้พายทำขนม
  • เมื่อได้ครบแล้วจัดการนำผ้าปิดปากหม้อ แล้วเหลือรูเปิดช่องว่างนิดนึง แล้วใช้เชือกมัดขึงผ้าให้ตึงและแน่นที่สุดค่ะ จากนั้นเติมน้ำอย่างน้อยครึ่งหม้อหรือมากกว่า เตรียมไว้ค่ะ
ส่วนผสมข้าวเกรียบปากหม้อ

ตัวไส้

1. หมูสับ
2. ถั่วลิสงคั่วป่น
3. ไชโป้วสับละเอียด
4. กระเทียม + รากผักชี + พริกไทย ตำรวมกัน (สามเกลอ)
5. น้ำตาลปี๊บ
6. น้ำปลา
7. ซีอิ้วขาว
8. น้ำมันสำหรับผัด

ตัวแป้ง

1. แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
2. แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ
3. น้ำเปล่า 2 ถ้วย (กรณีต้องการแป้งสีเขียว ก็เปลี่ยนจากน้ำเปล่าเป็นน้ำคั้นจากใบเตยแทนค่ะ)

วิธีทำข้าวเกรียบปากหม้อ

1. เริ่มจากเตรียมตัวแป้งกันก่อนค่ะ โดยนำแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน และน้ำเปล่ามาผสมกันแล้วคนให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว พักไว้
2. ต่อมาผัดไส้กันต่อ ตั้งกระทะใส่น้ำมัน พอร้อนแล้วใส่สามเกลอลงผัดพอหอม ใส่หมูสับและไชโป้วสับละเอียดลงผัดสุก แล้วปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา และซีอิ้วขาวลงไปผัดไปจนแห้งและเหนียวค่ะ สุดท้ายใส่ถั่วลิสงคั่วป่นลงไปผัดให้เข้ากัน ชิมรสให้ออกรสเค็มนิด หวานหน่อย แล้วปิดไฟตักพักรอไว้ค่ะ
3. ตำกระเทียมเยอะหน่อยแล้วเจียวกับน้ำมันเตรียมไว้คลุกตัวขนมค่ะ
4. เมื่อได้ครบทุกส่วนแล้ว ตั้งหม้อรอน้ำเดือดจัด คนแป้งแล้วหยอดตรงกลางผ้า แล้วใช้ทัพพีคนไปทางเดียวกันหลายๆรอบ ดูว่าเทแป้งหนาเท่ากันแล้ว จึงเอาฝาหม้อปิดไว้สักครู่ เปิดฝาหม้อแล้วปั้นไส้หมูวางตรงกลาง ใช้พายช้อนพับแป้งทั้งสี่ด้านปิด แล้วตักออกใส่จาน นำน้ำมันกระเทียมเจียวพรมไว้กันตัวขนมติดกันค่ะ ทำแบบนี้ไปจนหมดของค่ะ
5. เวลากินก็เอากระเทียมเจียวโรยอีกครั้ง กินกับผักชี ผักกาดหอม พริกขี้หนู หรือผักสดอื่นๆตามชอบค่ะ (ถ้าจะกินแบบภาคเหนือก็นำหัวกะทิสดตั้งไฟพออุ่นๆ ตักมาราดบนตัวขนมขลุกขลิกก็เป็นอันเสร็จค่ะ จะอร่อยมันกะทิเพิ่มเข้ามาค่ะ)

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559

ข้าวเม่าทอด

ข้าวเม่าทอด : ขนมอร่อยอีกตำรับจากข้าวเม่า ที่ปัจจุบันเริ่มหาทานกันยากแล้วค่ะ

ส่วนผสมข้าวเม่าทอด

ตัวข้าวเม่า

1. กล้วยไข่ 1 หวี (ใช้ลูกเล็ก เลือกที่ไม่มีเหลี่ยม เอาแบบสุกพอดีอย่าให้สุกมาก)
2. ข้าวเม่า 1 ถ้วยครึ่ง
3. มะพร้าวขูดขาว 2 ถ้วย
4. น้ำตาลมะพร้าว 1 ถ้วย
5. น้ำสะอาด 1/2 ถ้วย

แป้งชุบข้าวเม่า

1. แป้งข้าวจ้าว 2 ถ้วย
2. ไข่ไก่ 1 ฟอง
3. หัวกะทิ 1 ถ้วย
4. เกลือ 1/2 ช้อนชา
5. น้ำปูนใส 1/2 ถ้วย
6. น้ำมันรำข้าวสำหรับทอด

วิธีทำข้าวเม่าทอด

1. เริ่มจากเตรียมแป้งชุบข้าวเม่าก่อนค่ะ ผสมแป้งข้าวจ้าว ไข่ เกลือ และหัวกะทินวดผสมให้เข้ากันดี พักแป้งไว้ 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นใส่น้ำปูนใสลงไปคนให้เข้ากัน แล้วนำไปกรองด้วยกระชอนถี่ๆ พักไว้
2. ต่อมามาทำตัวข้าวเม่ากันต่อค่ะ นำข้าวเม่ามาคั่ว โดยแบ่งคั่วครั้งละไม่มาก คั่วให้กรอบ จนหมด แล้วนำไปโขลกหยาบๆ
3. ผสมน้ำตาลมะพร้าวและน้ำสะอาด นำขึ้นตั้งเตา เคี่ยวให้น้ำตาลเริ่มเหนียว ใส่มะพร้าวขูดลงไปกวนให้เข้ากัน จนมะพร้าวเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีน้ำตาลอ่อน แล้วใส่ข้าวเม่าโขลกหยาบๆลงไป กวนให้เข้ากัน ใช้ไฟกลางๆค่อนข้างอ่อน กวนจนส่วนผสมเหนียวขึ้น ลองหยิบดูให้เนื้อสามารถปั้นได้ ก็ยกลงจากเตา พักไว้ให้อุ่น
4. ปอกเปลือกกล้วยไข่เตรียมไว้ ให้นำรกออกด้วย เพราะเวลาทอดสุกแล้วจะทำให้มีสีดำ
5. นำข้าวเม่าที่พักไว้พออุ่นๆ มาปั้นหุ้มกล้วยให้มิด ทำจนกล้วยหมด
6. นำกล้วย 2 ลูกที่ปั้นเสร็จแล้วมาชุบด้วยแป้งที่เตรียมไว้ในข้อที่ 1 โดยจับกล้วยติดกันเวลาชุบแป้ง เพื่อทำเป็แพ (หรือจะใช้แพ 3 ลูกก็ได้) นำลงทอดในน้ำมันที่ร้อนจัด ลดไฟลงกลางๆ ทอดจนเหลืองกรอบทั้งสองด้าน ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน
7. จากนั้นใช้มือโรยแป้งใส่ลงกระทะ แล้วใช้ตะหลิวตะล่อมฝอยแป้งให้เป็นแพ พับทบกัน ทอดจนกรอบ ตักขึ้นวางบนแพข้าวเม่า เป็นอันเสร็จค่ะ (เวลาโรยแป้ง ให้ยกมือขึ้นสูง เพื่อให้แป้งเป็นฝอยสวยงามค่ะ)

ไก่ต้มน้ำปลา

ไก่ต้มน้ำปลา

ส่วนผสมไก่ต้มน้ำปลา

1. ไก่สด 1 ตัว
2. รากผักชีบด 2 ช้อนโต้ะ
3. ข่าหั่นแว่น 2 ชิ้น
4. ตะไคร้ 1 ต้น
5. ใบมะกรูด 2 ใบ
6. น้ำตาลปี๊บ 3 ช้อนชา
7. น้ำปลา 1 ถ้วย
8. ซีอิ้วดำ 3 ช้อนชา
9. น้ำเปล่า 3 ถ้วย

วิธีทำไก่ต้มน้ำปลา

1. ต้มน้ำให้เดือด ใส่รากผักชีบด ตะไคร้ ข่าหั่นแว่น และใบมะกรูดลงไป ปรุงรสด้วยน้ำปลา ซีอิ้วดำ และน้ำตาล
2. ใส่ไก่ลงไปต้ม 45 นาที จากนั้นนำไก่ออกมาพักให้สะเด็ดน้ำ สับเป็นชิ้นๆ

น้ำจิ้มไก่ต้มน้ำปลา (สูตรโบราณ)


ส่วนผสมและวิธีทำน้ำจิ้มไก่ต้มน้ำปลา

1. พริกขี้หนู ปริมาณตามชอบ
2. กระเทียม 5 กลีบ
3. เกลือป่น
4. น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย
5. น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา

โขลกพริกขี้หนู กระเทียม และเกลือป่นพอหยาบ เติมน้ำส้มสายชูและน้ำตาลปี๊บลงไป คนผสมให้ละลายเข้ากัน ชิมรสตามชอบ

น้ำพริกปลาย่าง

น้ำพริกปลาย่าง

ส่วนผสมน้ำพริกปลาย่าง (ส่วนผสมต่างๆ ปรับเปลี่ยนได้ตามความชอบค่ะ)

1. ปลาทูนึ่ง 1 ตัวใหญ่ (หรือ 2 ตัวเล็ก)
2. หอมแดง 6 หัว
3. กระเทียม 10 กลีบ
4. พริกขี้หนู 15 เม็ด
5. พริกชี้ฟ้าแดง 1-2 เม็ด
6. น้ำปลา
7. น้ำมะนาว
8. น้ำตาลทราย
9. น้ำต้มสุก

วิธีทำน้ำพริกปลาย่าง

1. นำปลาทูนึ่งมาย่างให้แห้ง แกะเอาแต่เนื้อ พักไว้
2. นำหอมแดง กระเทียม พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้ามาย่างไฟจนหอม แล้วใส่ครกตำหยาบๆ ใส่เนื้อปลาทูย่างที่แกะไว้ลงในครก ตำให้เข้ากัน
3. ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว น้ำปลา และน้ำตาลทราย ชิมรสชาติตามชอบ ถ้าแห้งเกินไปให้เติมน้ำต้มสุกได้นิดหน่อยค่ะ
4. ตักใส่จานเสิร์ฟกับข้าวสวย ไข่ต้ม ผักลวก ผักสด หรืออื่นๆได้ตามชอบ

น้ำพริกไข่เค็ม

น้ำพริกไข่เค็ม หวานๆ เค็มๆ มันๆ อร่อยดีค่ะ

ส่วนผสมน้ำพริกไข่เค็ม (ส่วนผสมต่างๆเพิ่มหรือลดได้ตามความชอบ)

1. ไข่เค็มสุก 2 ฟอง
2. กะปิอย่างดี 1 + 1/2 ช้อนชา
3. กระเทียมกลีบเล็ก 20 กลีบ
4. พริกขี้หนูเม็ดเล็ก 20 เม็ด
5. น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำตาลปี๊ป 3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำน้ำพริกไข่เค็ม

1. นำไข่เค็มสุกมาแกะเปลือก แยกไข่ขาวและไข่แดง บิให้เป็นชิ้นเล็กๆ พักไว้
2. นำกะปิห่อใบตองย่างไฟให้หอม พักไว้
3. โขลกกระเทียมและพริกขี้หนูพอหยาบๆ ใส่กะปิย่างลงไปตำให้เข้ากัน
4. ปรุงรสด้วยน้ำมะนาวและน้ำตาลปี๊ป ชิมรสชาติให้ออกเปรี้ยวหวานตามชอบ
5. ใส่ไข่แดงเค็มที่เตรียมไว้ลงไปคลุกแบบเบามือ เพราะเดี๋ยวจะเละเกิน ไม่น่ากิน
6. แล้วค่อยๆเติมไข่ขาวลงไปทีละน้อย ไม่ต้องใส่ทีเดียวทั้งหมด เพราะจะเค็มเกินไป (ส่วนน้ำปลาจะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเค็มของกะปิและไข่เค็มค่ะ)
7. ตักใส่ถ้วยเสิร์ฟทานได้เลยค่ะ

ต้มยำหัวปลี

ต้มยำหัวปลี

ส่วนผสมต้มยำหัวปลี

1. หัวปลี ผ่าแช่น้ำมะนาว หั่นแล้วต้มให้สุก
2. กะทิ
3. น้ำพริกเผา
4. ไก่ หั่นเป็นชิ้นตามชอบ
5. เครื่องต้มยำ (ข่า + ตะไคร้ + ใบมะกรูด)
6. น้ำปลา
7. น้ำมะนาว
8. น้ำมะขาม

วิธีทำต้มยำหัวปลี

1. นำกะทิกับเครื่องต้มยำต้มรวมกันจนเดือด
2. ใส่เนื้อไก่ตามลงไปต้มจนเดือดอีกครั้ง จึงใส่หัวปลีลงไป
3. ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำมะขาม และน้ำพริกเผา คนให้เข้ากัน ชิมตามชอบ ปิดไฟ ตักใส่ชามทานกับข้าวสวยร้อนๆได้เลยค่ะ

น้ำพริกหมู

น้ำพริกหมู

ส่วนผสมน้ำพริกหมู

1. เนื้อหมูหั่นชิ้นเล็กประมาณ 3 ขีด
2. พริกแห้ง 20 เม็ด
3. หอมแดง 6 หัว
4. กระเทียม 8 กลีบ
5. กะปิ 1 + 1/2 ข้อนโต๊ะ
6. น้ำมะขามเปียก
7. น้ำตาลปี๊บ
8. น้ำตาลทราย
9. น้ำปลา
10. น้ำมันพืชหรือน้ำมันหมูนิดหน่อย

วิธีทำน้ำพริกหมู

1. ผัดเนื้อหมูในน้ำมันนิดหน่อยพอสุก พักไว้
2. คั่วพริกแห้ง หอมแดง และกระเทียมให้หอม แล้วตำพอละเอียด เติมกะปิลงไปตำให้เข้ากัน เสร็จแล้วนำไปผัดกับหมูที่ผัดน้ำมันไว้ค่ะ
3. พอสุกได้ที่ ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำปลา น้ำตาลปิ้ป น้ำตาลทราย ชิมรสชาติตามชอบ
4. ผัดต่อด้วยไฟอ่อนสลับกลางจนแห้ง ตักใส่จานเสริฟกับผักลวกหรือผักสดตามชอบค่ะ

หมี่กะทิอีสาน

หมี่กะทิอีสาน


ส่วนผสมหมี่กะทิอีสาน

1. เส้นเล็กมากน้อยตามชอบ
2. ถั่วลิสงคั่ว ตำหยาบๆ
3. หมูสับ
4. เต้าเจี้ยว
5. พริกแกงเผ็ด
6. น้ำตาลปี๊บ
7. กะทิ
8. น้ำมะขามเปียก
9. ไข่ไก่ 3-4 ฟอง
10. เกลือ
11. น้ำปลา


วิธีทำหมี่กะทิอีสาน

1. นำเต้าเจี้ยวและหมูสับใส่ลงไปในครก โขลกให้เข้ากัน พักไว้
2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันนิดหน่อย ใส่พริกแกงเผ็ดลงผัดให้หอม ใส่หมูสับและเต้าเจี้ยวที่โขลกไว้ลงผัดพอสุก ใส่กะทิลงไป (ไม่ต้องเคี่ยวกะทิให้แตกมันนะคะ)
3. ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย น้ำมะขามเปียก และน้ำเปล่านิดหน่อยลงไป คนให้เข้ากัน ปล่อยให้เดือด
4. ตอกไข่ใส่ชามตีให้เข้ากัน ค่อยๆเทลงไปในหม้อ ระหว่างเทไข่ก็ใช้มืออีกข้างคนเรื่อยๆ ไข่จะได้ไม่ติดเป็นก้อน คนไปเรื่อยๆจนไข่ฟูขึ้น แล้วใส่ถั่วลิสงคั่วตำหยาบๆลงไปคนให้เข้ากัน ชิมรสให้หวานนำค่ะ ก็เป็นอันเสร็จปิดเตา
5. นำหม้อใส่น้ำตั้งไฟ พอเดือด ใส่เส้นเล็กลงลวกให้นิ่ม แล้วตักขึ้นใส่น้ำเปล่าล้างแล้วใส่ตะแกรงให้สะเด็ดน้ำ แล้วเทใส่ชามใบใหญ่ ใส่น้ำมันคลุกเส้น เส้นจะได้ไม่ติดเป็นก้อนค่ะ ลวกผักที่ชอบสำหรับกินเคียงกันด้วยนะคะ เช่น หัวปลี ใบบัวบก ใบกุยช่าย ถั่วงอก ถั่วฝักยาว ทานเข้ากันทุกอย่างค่ะ

เวลาทานก็ตักเส้นเล็กใส่จานราดด้วยน้ำกะทิหมูสับก็เรียบร้อยพร้อมทานแล้วล่ะค่ะ อย่าลืมทานกับผักด้วยรับรองอร่อยเข้ากันสุดๆเลยค่ะ

ลอดช่องน้ำกะทิ

ลอดช่องน้ำกะทิ : เมนูขนมหวานไทยที่หอมใบเตยและกลิ่นน้ำกะทิอบควันเทียน คือเสน่ห์อย่างหนึ่งของขนมไทย ลอดช่องน้ำกะทิก็คืหนึ่งในเมนูนั้นค่ะ ยิ่งร้อนๆแบบนี้ได้ลอดช่องสักถ้วยก็ชื่นใจไม่น้อยเลยนะคะ

ส่วนผสมลอดช่องน้ำกะทิ

ตัวแป้ง

1. แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
2. แป้งถั่วเขียว 3 ช้อนโต๊ะ
3. แป้งท้าวยายม่อม 1/2 ถ้วย
4. น้ำปูนใส 5 ถ้วย
5. ใบเตย 20 ใบ

น้ำกะทิ

1. น้ำตาลปี๊บ 2 ถ้วย
2. กะทิ 2 ถ้วย
3. เกลือ
4. เทียนอบ

วิธีทำลอดช่องน้ำกะทิ

ตัวแป้ง

1. นำใบเตยมาล้างให้สะอาด โขลกให้ละเอียด เติมน้ำ 1 ถ้วยคั้นเอาแต่น้ำ นำมาใส่ผ้ากรองอีกครั้ง พักไว้
2. นำแป้งข้าวเจ้า แป้งท้าวยายม่อม และแป้งถั่วเขียวมาผสมกัน ค่อยๆใส่น้ำปูนใสใช้มือนวดๆให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำมาใส่กระทะทองเหลืองกวนไปในทางเดียวกันด้วยไฟอ่อน
3. แล้วค่อยๆใส่น้ำใบเตยลงไปกวนเรื่อยๆ จนแป้งเปลี่ยนสีใสขึ้นแล้วมีความเงา ดูว่าแป้งสุกเเล้ว ก็เตรียมหม้อใส่น้ำเย็นรอไว้
4. นำแป้งที่ได้ใส่พิมพ์กดลอดช่อง ค่อยๆกดให้แป้งลอดผ่านช่องลงไปในน้ำเย็น รอแป้งแข็งตัวตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ

น้ำกะทิ

1. นำกะทิมาละลายกับน้ำตาลและเกลือเล็กน้อย คนให้น้ำตาลละลาย นำตั้งไฟอ่อนคนไปเรื่อยๆ พอกะทิเริ่มเดือด แต่อย่าให้แตกมันก็นำขึ้นพักไว้ให้เย็น
2. เตรียมหม้ออีกใบนำหม้อกะทิใส่ซ้อนลงไป จุดเทียนอบพอไส้ไหม้ก็ให้รีบดับแล้วหย่อยลงในหม้อเพื่อเอาแต่ควัน ปิดฝาไว้สัก 10 นาที ก็จะได้กลิ่นน้ำกะทิหอมๆจากควันเทียน

เวลาทานตักลอดช่องใส่ถ้วยราดน้ำกะทิ ใส่น้ำแข็งหน่อย หอมอร่อยชื่นใจค่ะ

หมูทอดเกลือ (หมูสามชั้นทอดเกลือ)

หมูทอดเกลือ (หมูสามชั้นทอดเกลือ)

ส่วนผสมหมูทอดเกลือ (อัตราส่วน หม 1 ูกิโลกรัมจะใช้เกลือ 1/2 ช้อนโต๊ะ)


1. หมูสามชั้น 1 กิโลกรัม (เนื้อหมูจะใช้ส่วนอื่นๆก็ได้นะคะ ตามชอบเลยค่ะ)
2. เกลือ 1/2 ช้อนโต๊ะ
3. น้ำมันสำหรับทอด

วิธีทำหมูทอดเกลือ

1. นำหมูสามชั้นมาล้างให้สะอาด ซับด้วยผ้าให้แห้ง แล้วหั่นชิ้นใหญ่ๆค่ะ
2. จากนั้นนำมาหมักกับเกลือเป็นเวลา 10 นาที
3. ตั้งกระทะใส่น้ำมันเยอะหน่อย เปิดไฟกลาง ใส่หมูสามชั้นที่หมักได้ที่แล้วลงทอด
4. เมื่อหมูเริ่มออกสีเหลืองเกรียม ให้คนบ่อยๆ สีของหมูจะเหลืองเกรียมสม่ำเสมอกัน ใช้กระชอนตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน จัดใส่จานทานกับน้ำจิ้มแจ่วได้เลยค่ะ

ทูน่าคอร์นสลัด

ทูน่าคอร์นสลัด : เมนูที่ทานอร่อย สดชื่น ย่อยง่าย ได้คุณค่าทางอาหาร สูตรนี้ขอมาเหมือนซื้อกินที่ร้าน KFC เลยล่ะค่ะ แถมยังทำง่ายมากๆ มาทำทานกันค่ะ

ส่วนผสมทูน่าคอร์นสลัด (ปริมาณมากน้อยขึ้นอยู่กับความชอบนะคะ ถ้าทานเยอะทำเยอะค่ะ)

1. ทูน่ากระป๋อง 1 กระป๋อง (จะเป็นแบบแช่ในน้ำมันหรือน้ำเกลือก็ได้ค่ะ)
2. สับปะรด 1 ลูกเล็ก
3. ผักรวมแช่แข็ง 1 ถ้วย (หาซื้อได้ตามตู้แช่ในห้างสรรพสินค้า)
4. มายองเนสสำเร็จรูป 1 ถ้วย

วิธีทำทูน่าคอร์นสลัด

1. เทน้ำมันหรือน้ำเกลือที่มากับทูน่าออก ให้เหลือแต่เนื้อทูน่าล้วนๆค่ะ
2. หั่นสับปะรดเป็นชิ้นเล็ก ใส่รวมกับผักรวมแช่แข็ง (ข้าวโพด แครอท ลันเตา) นำเข้าไมโครเวฟ ไฟแรงประมาณ 3-5 นาที
3. นำถ้วยผักที่ละลายน้ำแข็งกับสับประรดที่สุดแล้ว มาบีบน้ำออกให้แห้ง เพื่อเวลาผสมกับมายองเนสแล้วจะเข้มข้น ไม่มีน้ำเยอะ
4. ใส่ทูน่า ผัก สับประรด และมายองเนสลงในชาม คลุกเคล้าให้เข้ากัน นำแช่ตู้เย็นให้เย็นๆก่อนตักรับประทาน เท่านี้เราก็จะได้ทูน่าคอร์นสลัดง่ายๆไว้ทานแล้วล่ะค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559

ข้าวเหนียวตัดหน้าสังขยา

ข้าวเหนียวตัดหน้าสังขยา สูตรคุณตุ๊ก ณัฐธิดา (ขนมบ้านจอมขวัญ)

สูตรนี้แบ่งเป็นสองส่วน
1 ส่วนของข้าวเหนียว
2 ส่วนของสังขยา

ส่วนผสมของส่วนข้าวเหนียว

1. ข้าวเหนียวเขี้ยวงู 400 กรัม
2. หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง
3. น้ำ 1/2 ถ้วยตวง
4. เกลือ 1/2 ช้อนชา
5. น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง

ส่วนผสมของส่วนสังขยา

1. ไข่เป็ด 5 ฟอง
2. ไข่ไก่ 4 ฟอง
3. น้ำตาลปี๊บ 400 กรัม (ชอบหวานเพิ่มได้)
4. หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง
5. ใบเตย
6. ใบตะไคร้ (ช่วยดับกลิ่นคาวของไข่ได้เป็นอย่างดี)

วิธีทำข้าวเหนียวตัดหน้าสังขยา

1. นำข้าวเหนียวเขี้ยวงูแช่น้ำ 4 - 5 ชั่วโมง ครบเวลานำขึ้นกรองให้สะเด็ดน้ำ (ถ้าเป็นข้าวเหนียวใหม่ให้ลดเวลาในการแช่น้ำลงอีกค่ะ)
2. ใส่น้ำลงในลังถึง 1/2 หม้อ นำไปตั้งไฟให้เดือด นึ่งถาดหรือพิมพ์สำหรับทำข้าวเหนียวตัดหน้าสังขยาก่อน 5 นาที
3. เทหัวกะทิ + น้ำ+ น้ำตาลทราย + เกลือรวมกันในชามผสม คนให้น้ำตาลละลาย ลองชิมดูให้ได้รสที่ต้องการ
4. นำข้าวเหนียวเทใส่ถาดพิมพ์ แล้วเทส่วนกะทิที่ผสมกันไว้แล้วลงไป เกลี่ยให้เสมอกัน นึ่ง 17 - 20 นาที (เวลาใส่ข้าวเหนียวลงพิมพ์ ไม่ต้องกระแทกพิมพ์ เพราะจะทำให้ข้าวเหนียวแน่นเกินไป)

5. (ในส่วนของสังขยา) ตอกไข่เป็ดและไข่ไก่ลงถ้วยทีละฟอง ก่อนเอาไปเทลงชามผสม (เผื่อเจอไข่เน่าจะได้ทิ้งได้ เพราะถ้าตอกใส่รวมชามเดียวกัน เกิดมีไข่เน่าจะแยกออกยาก)
6. หลังจากนั้นเทไข่ใส่รวมกัน นำใบเตยและใบตะไคร้ขยำไข่ให้แตก (ใบตะไคร้ให้แกะแกนกลางออกก่อนที่จะไปขยำ จะได้ไม่บาดเจ็บค่ะ)
7. ใส่น้ำตาลปี๊บลงไป ขยำให้น้ำตาลละลายและขึ้นฟู
8. ค่อยๆใส่หัวกะทิลงไป แล้วขยำต่อให้ฟูเนียน จากนั้นนำไปกรอง
9. พอข้าวเหนียวสุก ให้เบาไฟแล้วค่อยๆเทสังขยาราดบนหน้าข้าวเหนียว นึ่งต่ออีก 15 นาที (ถ้าใครชอบสังขยาหน้าเรียบ ให้นึ่งไฟอ่อน แต่ถ้าชอบหน้าเป็นคลื่นๆหน้าย่น ให้นึ่งด้วยไฟแรง)
10. เสร็จเรียบร้อยยกลง พักให้เย็นก็ตัดแบ่งรับประทานหรือขายได้แล้วล่ะค่ะ

โดนัท

โดนัท
 
ส่วนผสมโดนัท

แป้งว่าว 1+1/4 ถ้วย
ยีสต์ 2 ช้อนชา
นมจืด 8 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
ไข่แดง (ของไข่ไก่) 1 ฟอง
เกลือ 1/4 ช้อนชา
เนยสด (หรือ เนยขาว) 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำโดนัท

1. ใส่นมจืด + น้ำตาลทราย + ไข่แดง + เกลือลงในชามผสม คนให้ละลายรวมกัน พักไว้
2. ร่อนแป้งว่าว + ยีสต์รวมกันในอ่างผสม แล้วเทส่วนผสมในข้อที่ 1 ใส่ลงไป นวดให้เข้ากัน ใส่เนยลงไป นวดต่อจนเนียน เสร็จแล้วหาภาชนะมาปิดแป้ง แล้วพักแป้งไว้ 20 นาที
3. พอครบเวลาแป้งจะฟูขยายขึ้น นำมาตัดแบ่งเป็นก้อนๆประมาณ 8 ก้อน คลึงให้กลมทำวงตรงกลางพักไว้อีก 30 นาที (หาพลาสติกคลุมไว้ด้วยค่ะ) หรือจะใช้พิมพ์กดเป็นรูปอะไรก็ได้ตามชอบค่ะ
4. ครบเวลานำไปทอดไฟกลางค่อนไปทางอ่อนค่ะ

เคล็ดลับการทอดโดนัท

พอน้ำมันร้อนวางแป้งลงทอด ปิดฝาไว้ประมาณ 1 นาที เปิดฝาออกกลับด้านโดนัทแล้วทอดอีกด้านประมาณ 1 นาทีเหมือนกัน แค่นี้ก็จะได้โดนัทวงแหวนสวยๆแล้วค่ะ

5. ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน คลุกน้ำตาลทาน หรือว่าจะเคลือบช็อคโกแลตก่อนก็ได้ตามความชอบเลยค่ะ

แกงเผ็ดฟักทอง

แกงเผ็ดฟักทอง

ส่วนผสมแกงเผ็ดฟักทอง

1. เนื้อไก่และน่องไก่
2. ฟักทอง (เลือกฟักทองที่เหนียว)
3. กะทิ
4. พริกแกงเผ็ด
5. พริกชี้ฟ้า
6. ใบโหระพา
7. น้ำปลา
8. น้ำตาลปี๊บ
9. ซีอิ๊วขาว

วิธีทำแกงเผ็ดฟักทอง

1. ตั้งหัวกะทิเคี่ยวให้แตกมัน ใส่พริกแกงเผ็ดลงไปเคี่ยวต่อให้แตกมัน ใส่เนื้อไก่และน่องไก่ที่สับแล้วลงผัดให้เข้ากันไม่ต้องสุกมาก
2. ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ซีอิ๊วขาว จากนั้นเติมหางกะทิลงไป ตั้งไฟจนเดือด ชิมรสชาติให้ได้ตามชอบ ใส่พริกชี้ฟ้าและใบโหรระพาลงไป ก็ปิดเตาไฟได้เลยค่ะ ตักใส่ชามทานกับข้าวสวยร้อนๆ ไข่เค็ม หมูทอด หรือไข่เจียว แค่นี้ก็อร่อยแล้วค่ะ

ปลาหมึกกระเทียม

ปลาหมึกกระเทียม

ส่วนผสมปลาหมึกกระเทียม

1. ปลาหมึกสดหั่นชิ้น
2. กระเทียม+ รากผักชี + พริกไทยโขลกให้ละเอียด
3. กระเทียมสับ
4. น้ำมันพืช
5. น้ำปลา
6. น้ำตาล
7. ซีอิ้วขาว

วิธีทำปลาหมึกกระเทียม

1. ตั้งกระทะใส่น้ำต้มให้เดือด แล้วนำปลาหมึกใส่ลงไปลวกแค่พอสุก
2. แล้วนำกระทะตั้งไฟอีกครั้ง ใส่น้ำมันพืชตั้งไฟให้ร้อน ใส่กระเทียมสับลงเจียวให้เหลือง แล้วตักแต่กระเทียมเจียวขึ้น พักไว้
3. ให้เราใส่กระเทียม+ รากผักชี + พริกไทยที่โขลกไว้ลงไปผัดในน้ำมันที่เหลือในกระทะ ผัดให้หอม แล้วใส่ปลาหมึกลงไป
4. ปรุงรสใส่น้ำปลา น้ำตาล ซีอิ้วขาว เป็นอันเสร็จ ตักใส่จาน โรยด้วยกระเทียมและผักชี เสิร์ฟทานกับข้าวสวยร้อนๆได้เลยค่ะ

แคบหมูไร้มัน

แคบหมูไร้มัน

ส่วนผสมแคบหมูไร้มัน

1. หนังหมูสด
2. ซีอิ้วขาว
3. เกลือ
4. น้ำมันพืช (หรือ น้ำมันหมู)

วิธีทำแคบหมูไร้มัน

1. ใช้มีดโกนขนหมูให้เกลี้ยง และแร่มันขาวๆออก ล้างน้ำให้สะอาดพักไว้รอต้ม
2. ตั้งหม้อใส่เกลือลงไปเล็กน้อย เอาหนังหมูลงไปต้มให้สุกนิ่ม
3. เมื่อหนังหมูสูกเรียบร้อย เทน้ำร้อนออก เติมน้ำเปล่าใส่หม้อ เพื่อไม่ให้น้ำร้อนจนเกินไป เวลาหั่นหนังหมูน้ำอุ่นจะหันง่าย หั่นความกว้างเท่านิ้วชี้ ความยาวแล้วแต่แผ่นของหนังหมูว่ายาวเท่าไร
4. หั่นหนังหมูเรียบร้อยล้างน้ำให้สะอาดอีกครั้ง ใส่ตะแกรงพักไว้รอให้สะเด็ดน้ำ
5. หลังจากหนังหมูสะเด็ดน้ำดีแล้ว นำหนังหมูมาปรุงรสด้วยซีอิ้วขาวและเกลือ คลุกให้เข้ากัน
6. นำหนังหมูไปตากแดด 1 วัน ดูระยะเวลาเมื่อครบ 4-5 ชั่วโมง ให้พลิกกลับด้าน รอต่อ 2-3 ชั่วโมงให้กลับด้านอีกด้านขึ้นมาแทน รอให้หนังแห้งพอดีค่อยเก็บมาทอด
7. ตั้งกระทะใส่น้ำมันกะปริมาณให้ท่วมหนังหมู เวลาทอดจะได้ไม่ติดก้นกระทะ ใช้ไฟปานกลาง ไม่ต้องรอให้น้ำมันเดือด ใส่หนังหมูลงทอดได้เลย สักพักน้ำมันเริ่มเดือดมีฟองขึ้น ให้เบาไฟลง ทอดต่อไปประมาณ 2-3 นาที ให้ปิดไฟ แช่หนังหมูให้อมน้ำมันในกระทะประมาณ 25-30 นาที แล้วค่อยเปิดไฟปานกลางทอดอีกครั้ง เวลาทอดยีหนังหมูไม่ให้ติดกันด้วยนะคะ เมื่อน้ำมันเดือดได้ที่เบาไฟลงอีกที ( ช่วงนี้ระวังน้ำมันกระเด็นใส่ เพราะหนังหมูเริ่มจะพองตัว) ทอดให้เหลืองกรอบได้ที่ ตักขึ้นพักไว้ให้หายร้อน หาภาชนะมีฝาปิดใส่ไม่ให้ลมเข้าและหายกรอบค่ะ

ชะอมชุบไข่ทอด

ชะอมชุบไข่ทอด

ส่วนผสมชะอมชุบไข่ทอด

1. ชะอมเด็ด 1 กำ
2. ไข่ไก่ (เบอร์3) 4 ฟอง
3. น้ำปลา 1ช้อนโต๊ะ
4. น้ำมัน

วิธีทำชะอมชุบไข่ทอด

1. นำชะอมล้างให้สะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ ใส่ในชาม ตอกไข่ใส่ลงไป ปรุงรสด้วยน้ำปลา คนให้เข้ากันดี
2. ตั้งกระทะใช้ไฟเบา ใส่น้ำมันไม่ต้องเยอะกลิ้งให้ทั่วๆกระทะ เทชะอมลงในกระทะ เกลี่ยให้ชะอมกระจายๆทั่วกระทะ พอด้านล่างสุกกลับด้าน สุกทั้ง2ด้านตักขึ้นตัดแบ่งชิ้นตามชอบ

น้ำพริกกะปิ

น้ำพริกกะปิ

ส่วนผสมน้ำพริกกะปิ

1. กะปิ 3 ช้อนโต๊ะพูน (ห่อใบตองปิ้งไฟจะได้หอมๆ)
2. พริกขี้หนูสวน 3 ช้อนโต๊ะ
3. พริกขี้หนูแดง 6 เม็ด (พริกขี้หนูสวนมีแต่สีเขียวเลยใส่พริกสีแดงเพิ่ม)
4. มะนาวแป้น 3 ลูก
5. น้ำตาลปิ๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ
7. กระเทียม 3 ช้อนโต๊ะ
8. มะเขือพวงปริมาณตามชอบ
9. น้ำเปล่าต้มสุก 2 ช้อนโต๊ะ
10. น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำน้ำพริกกะปิ

1. โขลกพริก กระเทียม ไม่ต้องละเอียดมาก
2. ใส่น้ำตาล+กะปิ โขลกเบาๆให้น้ำตาลละลายเข้ากันดี
3. ปรุงรสที่เหลือ ชิมรสเปรี้ยว เค็ม เผ็ด รสหวานนิดๆพอ ใส่มะเขือพวง จะบุบให้แตกหรือใส่ทั้งลูกได้ตามชอบ
4. ตักใส่ถ้วยโรยพริกขี้หนูสวน จัดเสริฟพร้อมปลาทูทอด ชะอมชุบไข่ ผักสด ผักดองตามที่ชอบเลยค่ะ

ขนมพระพาย

ขนมพระพาย (หรือขนมหัวล้าน) เป็นขนมโบราณหารับประทานยากด้วยชื่อที่เป็นมงคล นิยมใช้ประกอบพิธีแต่งงาน ดังความเชื่อที่ว่า พระพายคือลม ทำให้ชีวิตคู่ร่มเย็น ส่วนผสมใช้แป้งข้าวเหนียว ทำให้รักกันเหนียวแน่น ไส้หวานหอม ทำให้ชีวิตรักหวาน

ส่วนผสมขนมพระพาย

ตัวแป้ง

1. แป้งข้าวเหนียว
2. หัวกะทิ
3. น้ำลอยดอกมะลิ
4. สีผสมอาหาร

ไส้ถั่วกวน

1. ถั่วเขียวเราะเปลือกผ่าซีก (ถั่วทอง) 100 กรัม
2. น้ำตาลทรายขาว 100 กรัม
3. หัวกะทิ 130
4. เกลือป่นนิดหน่อย

ส่วนประกอบอื่นๆ

1. น้ำสะอาด สำหรับนึ่งขนม
2. น้ำเย็นสำหรับหล่อกะทิราดขนม
3. ใบตอง
4. หัวกะทิ
5. เกลือป่น
6. แป้งข้าวเจ้า

วิธีทำขนมพระพาย

ทำไส้ถั่วกวน

1. ล้างถั่วเขียวเราะเปลือก (ถั่วทอง) จนน้ำใส แช่ทิ้งไว้ในน้ำร้อน 3 ชั่วโมงหรือน้ำอุณหภูมิห้อง 1 คืน ล้างอีกรอบ นึ่งให้สุกนุ่มประมาณ 30 นาที
2. นำถั่วมาโขลกหรือบดจนละเอียด ผสมกับหัวกะทิ น้ำตาลทราย เกลือป่น แล้วกวนในกระทะด้วยใช้ไฟค่อนข้างอ่อน กวนไวๆไปทางเดียวกัน กวนจนแห้ง พักให้คลายร้อน ปั้นเป็นลูกกลมๆ ใช้ผ้าคลุมไว้กันแห้ง

ทำแป้งหุ้ม

1. ใส่แป้งข้าวเหนียวในชามผสม ค่อยๆใส่หัวกะทิ และน้ำลอยดอกมะลิ ใช้มือเคล้านวดแป้งให้เนียนนุ่มประมาณ 10 นาที (ถ้าตัวแป้งเหลวให้เติมแป้ง ถ้าหยาบเติมหัวกะทิและน้ำลอยดอกมะลิ บางคนใช้หัวและหางกะทิผสมกัน แต่เราใช้น้ำลอยดอกมะลิ จึงไม่ต้องใช้หางกะทิ)
2. จากนั้นแบ่งแป้งออกเป็นส่วนๆ ผสมสีค่ะ หาผ้าคลุมกันแห้ง
3. ปั้นแป้งเป็นลูกกลมให้ใหญ่กว่าไส้ คลึงให้แบน หุ้มไส้ให้มิดปั้นเป็นลูกกลม วางเรียงบนใบตองที่รองไว้ในลังถึง
4. ตั้งน้ำให้เดือดไฟแรง นึ่งขนมจนสุกวาวประมาณ 5 นาที

ทำหัวกะทิราด

1. ตั้งหม้อใส่หัวกะทิ แป้งข้าวเจ้า (แป้งใส่ 1 ช้อนก็พอค่ะ) คนให้แป้งละลายไม่เป็นก้อน ใส่เกลือป่นลงไปคนให้ละลายเข้ากัน
2. นำขึ้นตั้งไฟอ่อน คนไวๆ จนข้น ตักใส่ถ้วย แล้วนำมาหล่อด้วยน้ำเย็นช่วยให้ขึ้นน้ำราดหัวกะทิฟูขึ้นค่ะ

เสิร์ฟทานโดยนำขนมวางบนใบตอง ราดด้วยหัวกะทิที่ทำไว้ รีบรับประทานค่ะ เเป้งจะได้ไม่กระด้าง เพราะโดนลม

กระท้อนทรงเครื่อง

กระท้อนทรงเครื่อง

ส่วนผสมกระท้อนทรงเครื่อง

1. กระท้อนปุยฝ้าย 3 ลูก
2. น้ำตาลโตนด 1 ถ้วย
3. น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
4. กะปิ 1 ช้อนชา
5. น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
6. มะพร้าวขูดขาว
7. กุ้งแห้ง
8. ถั่วลิสง
9. หอมแดงซอย
10. พริกสดเม็ดเล็ก
11. เกลือ 2 ช้อนชา
12. น้ำเปล่า 1 ถ้วย

วิธีทำกระท้อนทรงเครื่อง

1. ผสมน้ำตาลโตนด น้ำตาลทราย กะปิ น้ำปลา และน้ำ 1 ถ้วยลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟเคี่ยวให้ข้นเหนียว พักไว้
2. นำถั่วลิสงมาคั่ว แล้วโขลกหยาบๆ
3. ล้างกุ้งแห้งให้สะอาด ซับด้วยผ้าให้สะเด็ดน้ำ แล้วโขลกหยาบๆ
4. นำมะพร้าวขูดมาคั่วให้เหลืองกรอบ
5. ซอยหอมแดงและพริกสด เตรียมไว้
6. คลึงกระท้อนบนเขียงให้นิ่มลง ปอกเปลือก หั่นตามยาวลูก นำไปแช่น้ำเกลือ 15 นาที เพื่อไม่ให้ดำและลดความฝาด หลังจากนั้นบีบน้ำเกลือออก พักให้สะเด็ดน้ำ (ถ้าใช้กระท้อนที่ฝาดมาก ต้องแช่น้ำเกลือนานขึ้นค่ะ)
7. เวลาจะทาน จัดกระท้อนใส่จาน ใส่เครื่องต่างๆ แล้วราดด้วยน้ำตาลที่เคี่ยวไว้ค่ะ

แกงหอยขมใบชะพลู

แกงหอยขมใบชะพลู

ส่วนผสมแกงหอยขมใบชะพลู

1. หอยขมประมาณ 2 กิโลกรัม
2. ใบชะพลูหั่นหยาบ 1 ถ้วย
3. พริกแกงเผ็ดใต้ 1.5 ช้อนโต๊ะ + กะปิดี 1 ช้อนโต๊ะ โขลกรวมกัน
4. กะทิ
5. น้ำตาล
6. เกลือเล็กน้อย

วิธีทำแกงหอยขมใบชะพลู

1. นำหอยขมมาล้างให้สะอาด
(เคล็ดลับในการล้าง : ใช้ข้าวสวย 1 กำมือ ใส่คลุกเคล้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที เพื่อให้หอยคายเมือกโคลน และทำให้เปลือกหอยสะอาด แล้วนำไปล้างกับน้ำสะอาดอีกครั้ง)
2. นำหอยขมมามาสับก้นหอยอก แล้วล้างสะอาดอีกครั้ง พักไว้
3. นำหางกะทิใส่หม้อตั้งไฟ พอเดือด ใส่พริกแกงเผ็ดที่โขลกรวมกับกะปิ ตามด้วยหอยขมลงไป คนให้ทั่ว รอให้หอยสุก ใส่ใบชะพลูหั่นหยาบลงไป
4. ปรุงรสด้วยน้ำตาล เกลือเล็กน้อย เติมหัวกะทิ รอให้เดือดอีกครั้ง ปิดไฟ ตักใส่ชามทานได้เลยค่ะ

ไชเท้าทรงเครื่อง (ขนมหัวไชเท้า)

ไชเท้าทรงเครื่อง ไชเท้าก๊วย ขนมหัวไชเท้า หรือขนมผักกาด ซึ่งก็แล้วแต่เพื่อนๆจะเรียกแบบไหนค่ะ แถมเมนูไชเท้าทรงเครื่องนี้ยังเหมาะที่จะทำทานในช่วงเทศกาลกินเจนี้ได้เลยนะคะ

ส่วนผสมไชเท้าทรงเครื่อง

ตัวแป้งจะมีให้เลือกทำ 2 สูตรค่ะ จะเป็นสูตรแป้งเหนียวนุ่ม และ สูตรแป้งนุ่ม แต่ไม่เหนียวค่ะ ส่วนวิธีทำนั้นเหมือนกันค่ะ ก่อนทำเพื่อนๆก็เลือกแบบแป้งที่ต้องการก่อนเลยค่ะ 

ส่วนผสมแป้ง (สูตร 1 - แป้งเหนียวนุ่ม)

1. แป้งข้าวเจ้าตราเอราวัณ 100 กรัม 
2. แป้งมันตราปลามังกร 100 กรัม 
3. แป้งข้าวเหนียวตราเอราวัณ 25 กรัม 
4. แป้งท้าวยายม่อมตรามังกร 25 กรัม 
5. น้ำสะอาด 2 ถ้วย

ส่วนผสมแป้ง (สูตร 2 - แป้งนุ่มไม่เหนียว)

1. แป้งข้าวเจ้าตราเอราวัณ 150 กรัม 
2. แป้งมันตราปลามังกร 50 กรัม 
3. แป้งข้าวเหนียวตราเอราวัณ 25 กรัม 
4. แป้งท้าวยายม่อมตรามังกร 25 กรัม 
5. น้ำสะอาด 2 ถ้วย

เมื่อเตรียมส่วนผสมตัวแป้งพร้อมแล้ว ก็มาเตรียมส่วนผสมอื่นๆสำหรับไชเท้าทรงเครื่องของเรากันต่อค่ะ

ส่วนผสมอื่นๆ (ส่วนผสมนี้รสชาติจะเข้มข้น สามารถปรับเพิ่มลดได้ตามชอบ)

1. หัวไชเท้าขูดยาวๆ 300-400 กรัม (ยังไม่คั้นน้ำ) (สามารถเปลี่ยนเป็นเผือกขูดยาวๆ 250-300 กรัมได้นะคะ หรือเปลี่ยนกุยช่ายแทนก็ได้ค่ะ)
2. น้ำมันพืช 1/4 ถ้วย 
3. เกลือ 1ช้อนชา
4. รสดี 1 ช้อนชา
5. น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
6. พริกไทยป่น 1 ช้อนชา (เพิ่มลดได้)
7. กระเทียมเจียว 1-2 ช้อนโต๊ะ
8. ถั่วลิสงดิบ (ต้มให้สุกนิ่ม) ½ ถ้วยตวง
9. เห็ดหอม ½ ถ้วยตวง
10. กุ้งแห้ง (ต้มให้นิ่ม) ½ ถ้วยตวง (ไม่ใส่ก็ได้)
11. หมูสามชั้นหั่นชิ้นบางๆ ½ ถ้วย (ไม่ใส่ก็ได้)
12. ขึ้นฉ่าย หั่นฝอย ½ ถ้วย

หมายเหตุ
 
ส่วนผสมทรงเครื่องสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ เช่น ถั่วลิสง เห็ดหอม แปะก๊วย ข้าวโพด แห้ว กุ้งแห้ง หมูสามชั้น เกาลัด และอื่นๆตามชอบ

วิธีทำไชเท้าทรงเครื่อง

1. นำถั่วลิสงดิบและเห็ดหอมลงแช่น้ำไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วนำถั่วลิสงที่แช่น้ำแล้วไปต้มจนสุกนิ่ม 
2. ส่วนเห็ดหอมให้ตักขึ้นแล้วบีบน้ำออก นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
3. นำหัวไชเท้าขูดเป็นเส้นยาวๆไปขยำกับเกลือ ล้างน้ำจดหมดกลิ่นและรสประมาณ 2-3 รอบก่อน แล้วนำขึ้นบีบน้ำให้แห้ง (ถ้าใช้เผือก ก็ปอกเปลือก แล้วล้างให้สะอาด แล้วขูดเป็นเส้นยาวๆ) 
4. นำหัวไชเท้าใส่ชามผสม ใส่แป้งและน้ำสะอาดลงผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่ส่วนผสมอื่นๆทั้งหมดตามลงไป ผสมให้เข้ากันทั้งหมด (ยกเว้นกระเทียมเจียวไว้โรยหน้า) 
5. เทส่วนผสมใส่ถาด หรือใส่พิมพ์ตามที่ต้องการ
6. จากนั้นนำลงนึ่งในน้ำเดือดนาน 20 นาที หรือจนแป้งสุกมีลักษณะใส นำออกมาพักไว้ให้อุ่นๆ (เวลาในการนึ่งขึ้นอยู่กับภาชนะที่ใช้)

ส่วนผสมและวิธีทำน้ำจิ้ม

1. จิ๊กโซ่ 7 ช้อนโต๊ะ
2. น้ำตาลทราย 5 ช้อนโต๊ะ
3. ชีอิ้วดำ 2 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ
5. น้ำเปล่า 7 ช้อนโต๊ะ
6. เกลือ นิดหน่อย
7. พริกขี้หนูสดปั่นละเอียดตามชอบ (ไม่ใส่ก็ได้)

ผสมทุกอย่างรวมกัน นำไปตั้งไฟให้ละลายเข้ากันดี ปิดไฟยกลง

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559

พุดดิ้งมะม่วง

พุดดิ้งมะม่วง รสชาติหวานอมเปรี้ยว แช่เย็นอร่อยฟินสุดๆไปเลยล่ะค่ะ

ส่วนผสมพุดดิ้งมะม่วง

1. เจลาตินชนิดแผ่น 2 แผ่น
2. น้ำเย็นจัด 100 กรัม
3. นมสดจืด 120 กรัม
4. วิปปิ้งครีม 100 กรัม
5. น้ำตาลทราย 60 กรัม
6. มะม่วงน้ำดอกไม้ 400 กรัม + มะม่วงมหาชนก 200 กรัม
7. น้ำมะนาว 2 ช้อนชา
8. เกลือ 1 หยิบมือ
9. เนื้อมะม่วงหั่นเต๋าสำหรับตกแต่ง
10. วิปครีมสำหรับตกแต่ง

วิธีทำพุดดิ้งมะม่วง

1. นำน้ำเย็นจัดใส่ชาม ใส่เจลาตินชนิดแผ่นลงแช่จนอิ่มน้ำ
2. นำนมสดจืด + วิปปิ้งครีม + น้ำตาลทรายผสมรวมกัน คนให้น้ำตาลละลาย จากนั้นนำขึ้นตั้งไฟคนให้อุ่น และใส่เจลาตินในข้อที่ 1 ผสมลงไป คนให้เจลาตินละลายเข้ากัน จากนั้นพักไว้ให้อุ่น
3. นำมะม่วงปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้น + น้ำมะนาว + เกลือ มาปั่นให้เข้ากันจนเนียน
4. กรองด้วยกระชอนตาถี่ จากนั้นนำผสมกับส่วนผสมในข้อที่ 2 คนให้เข้ากัน
5. ตักใส่ถ้วยและนำเข้าตู้เย็นให้พุดดิ้งมะม่วงเซ็ตตัว
6. ตกแต่งด้วยมะม่วงสุกหั่นเต๋าและวิปปิ้งครีม ยกเสิร์ฟทานได้เลยค่ะ

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

มะพร้าวแก้ว

มะพร้าวแก้ว

ส่วนผสมมะพร้าวแก้ว

1. น้ำตาลทรายขาว 1/2 กิโลกรัม
2. น้ำเปล่า 3-4 ถ้วยตวง
3. เนื้อมะพร้าวประมาณ 1 กิโลกรัม
4. สีผสมอาหารเล็กน้อย

วิธีทำมะพร้าวแก้ว

เคี่ยวน้ำตาลทรายและน้ำเปล่าให้ละลายเข้ากัน ใส่สีผสมอาหารที่ชอบลงไปเล็กน้อยให้พอมีสีสันสวยงาม พอน้ำตาลเดือดนิดๆ ใส่เนื้อมะพร้าวลงเคี่ยวจนข้นเหนียว จากนั้นก็นำเนื้อมะพร้าวมาผึ่งให้แห้ง เท่านี้เราก็จะได้มะพร้าวแก้วไว้ทานแล้วล่ะค่ะ

แป้งกระทงทอง

แป้งกระทงทอง

ส่วนผสมแป้งกระทงทอง

1. แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วย
2. แป้งสาลีเอนกประสงค์ 2 ช้อนโต๊ะ
3. แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
4. เกลือ 1/4 ช้อนชา
5. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
6. น้ำปูนใส 2 ช้อนโต๊ะ
7. กะทิ 1/4 ถ้วย
8. ไข่แดง 1 ฟอง

วิธีทำแป้งกระทงทอง

1. เทแป้งข้าวเจ้า + แป้งสาลีเอนกประสงค์ + แป้งข้าวโพด + เกลือ + น้ำตาลทรายลงคลุกเคล้าให้เข้ากัน
2. แหวกแป้งให้เป็นหลุมตรงกลาง ใส่ไข่แดงลงไปคนให้เข้ากันแป้งจะเหมือนร่วนซุย
3. ค่อยๆเทน้ำปูนใสลงไป คนส่วนผสมให้เข้ากัน
4. จากนั้นค่อยๆ เทกะทิลงไปทีละน้อย ระหว่างที่เทก็คนไปด้วยค่ะ
5. คนส่วนผสมให้เข้ากัน กรองด้วยกระชอนตาถี่พักแป้งไว้ 1/2 ชั่วโมง เพื่อให้แป้งทำงาน
6. ตั้งหม้อทอด เตรียมที่ซับน้ำมันให้พร้อม นำพิมพ์กระทงทองลงแช่
7. พอพิมพ์ร้อนใส่น้ำมันในพิมพ์ 1/2 พิมพ์ ซับน้ำมันในกระดาษทิชชู แล้วนำไปจุ่มในแป้งให้พอดีพิมพ์ นำลงหม้อทอดให้น้ำมันท่วมพิมพ์ด้วยไฟอ่อนๆ กะเวลาประมาณ 1/2 นาที กดพิมพ์ลงก้นหม้อถูพิมพ์ไปมา เพื่อให้ก้นพิมพ์แบนแล้วเอาขึ้นเสมอน้ำมัน ค่อยเขย่าเบาๆ แป้งจะหลุดออกจากพิมพ์ ทอดต่อแค่พอเหลืองทอง ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน

หมายเหตุ
  • การใส่น้ำมัน1/2 พิมพ์เพื่อให้พิมพ์ร้อนชุบแป้งติด
  • สูตรนี้ไม่ต้องใช้ไม้แหลมแซะแป้งออกจากพิมพ์ แค่เขย่าๆ แป้งก็จะหลุดออกมาเอง แต่ถ้าติดพิมพ์แสดงว่าใส่ส่วนผสมแป้งผิดอัตราส่วนค่ะ
  • ถ้าจะทำกระทงทองเจก็ไม่ต้องใส่ไข่แดงได้ค่ะ

สลัดครีมซอสมะนาว

สลัดครีมซอสมะนาว

ส่วนผสมครีมซอสมะนาว

1. ไข่แดง 2 ลูก
2. นมข้นหวาน 2 ช้อนโต๊ะ
3. พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
4. น้ำมันสลัด 1/2 ถ้วย (ถ้าไม่มีสามารถใช้น้ำมันรำข้าวหรือน้ำมันพืชแทนได้ค่ะ)
5. น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
6. เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
7. มัสตาร์ด 1 ช้อนชา
8. ผักสลัด เช่น ข้าวโพด ถั่วลันเตา แครอทหั่นเต๋า เป็นต้น

วิธีทำครีมซอสมะนาว

1. นำไข่แดงใส่โถปั่น ผสมน้ำมันสลัดทีละน้อย ห้ามใส่เยอะ ให้ปั่นไปหยอดน้ำมันไปจนหมดน้ำมันค่ะ
2. จากนั้นใส่นมข้นหวาน สลับกับน้ำมะนาว สลับกับพริกไทยปั่นให้เข้ากัน
3. ใส่มัสตาร์ดและเกลือป่น ปั่นจนเข้ากันเป็นครีมข้น นำเข้าตู้เย็นช่องธรรมดาให้ครีมเซ็ตตัวประมาณ 1 ชั่วโมง ค่อยนำมาผสมคลุกเคล้ากับสลัดที่ชอบ (ผักสลัด เช่น ข้าวโพด ถั่วลันเตา แครอท เป็นต้น) ทานกับกุ้งคลุกแป้งทอด ไก่ทอดได้เลยค่ะ หรือจะทานกับกระทงทองก็เข้ากันดีนะคะ

สาคูเปียกข้าวโพด

สาคูเปียกข้าวโพด

ส่วนผสมสาคูเปียกข้าวโพด

1. สาคูเม็ดเล็ก 2 ถ้วย
2. น้ำเปล่า 6 ถ้วย
3. ใบเตย 3-4 ใบ
4. น้ำตาล 1+1/2 ถ้วย
5. ข้าวโพดต้มฝาน 2+1/2 ถ้วย

วิธีทำสาคูเปียกข้าวโพด

1. ล้างสาคูเม็ดเล็กแบบล้างผ่านน้ำ พักไว้
2. ตั้งน้ำเปล่าให้เดือด ใส่ใบเตยมัดให้เรียบร้อยลงไป
3. เมื่อน้ำเดือดใส่สาคูลงไปต้มในหม้อ แล้วคนเบาๆ
4. เมื่อสาคูเริ่มสุกเป็นไตนิดหน่อยก็เติมน้ำตาลทรายลงไป คนให้เข้ากัน
5. ตามด้วยข้าวโพดต้มฝานลงไป คนให้เข้ากัน รอให้เดือดอีกครั้ง ปิดไฟ ยกลงพักไว้

ส่วนผสมน้ำราดกะทิ

1. หัวกะทิ 2 ถ้วย
2. แป้งข้าวเจ้า 2 ช้อนชา
3. เกลือนิดหน่อย

วิธีทำน้ำราดกะทิ

1. นำหัวกะทิ + แป้งข้าวเจ้า + เกลือใส่หม้อ คนผสมให้เข้ากันดี
2. ยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนให้พอกะทิเริ่มข้นขึ้น ปิดไฟ (อย่าให้เดือด เพราะจะทำให้กะทิแตกมัน)

วุ้นกะทิมะพร้าวอ่อน

วุ้นกะทิมะพร้าวอ่อน สูตรนี้สามารถทำได้ประมาณ 30 ถ้วย

ส่วนผสมวุ้นกะทิมะพร้าวอ่อน

1. วุ้นผงตรานางเงือก (เกรด AA) 1+1/2 ช้อนโต๊ะ
2. น้ำมะพร้าวอ่อน 500 กรัม
3. ใบเตย 3-4 ใบ
4. น้ำตาลทราย 200 กรัม
5. กะทิกล่องยี่ห้ออร่อยดี (250 ซีซี) 2 กล่อง
6. เกลือ 1+1/4 ช้อนชา
7. แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
8. เนื้อมะพร้าวอ่อน 3-4 ลูก
9. พิมพ์สำหรับใส่วุ้นเลือกตามชอบ

หมายเหตุ
  • ถ้าได้มะพร้าวน้ำหอมจะดีมากแต่ค่อนข้างหายาก แต่ที่เคยเห็นมะพร้าวที่อตก. และเยื้อง รพ.พระนั่งเกล้าเป็นรถจากสวนมาเองเลยค่ะ
  • ชิมน้ำมะพร้าวก่อนเทลงหม้อ บางลูกอาจมีรสเปรี้ยวให้ตัดใจเทน้ำมะพร้าวนั้นทิ้งไปค่ะ เพราะจะทำให้ขนมไม่อร่อย ถ้าเป็นเช่นนั้นใช้น้ำสะอาดแทนค่ะ
วิธีทำวุ้นกะทิมะพร้าวอ่อน

1. เฉาะเปลือกมะพร้าวอ่อน รินน้ำมะพร้าวแล้วกรองเอาแต่ส่วนสะอาดเก็บไว้สำหรับเคี่ยววุ้น ส่วนเนื้อมะพร้าวอ่อนใช้ช้อนตัก พยายามอย่าให้ติดเปลือกสีน้ำตาล นำมาหั่นให้เป็นชิ้้นเล็กๆ พักไว้
2. เทกะทิลงในหม้อ 1 กล่องก่อน ใส่แป้งข้าวโพดและเกลือตามลงไป ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน ไม่ให้แป้งเป็นเม็ด จึงเทกะทิลงไปอีก 1 กล่อง คนด้วยตะกร้อมืออีกครั้งให้เข้ากัน
3. นำหม้อกะทิขึ้นตั้งไฟกลางไปทางอ่อนให้เดือดเป็นฟองที่ขอบหม้อ แต่อย่าเดือดนานมากไป กะทิจะแตกมัน ขั้นตอนนี้ทำให้แป้งข้าวโพดสุกค่ะ พักไว้
4. ทำส่วนของวุ้นโดยการเทน้ำมะพร้าวอ่อนลงหม้ออีกใบ ใส่ผงวุ้นลงไป คนด้วยตะกร้อมือให้เข้ากัน ใส่ใบเตยที่ล้างทำความสะอาดแล้วลงไป
5. นำหม้อวุ้นขึ้นตั้งไฟกลางไปทางแรง คนด้วยตะกร้อมือหรือทัพพีเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้ผงวุ้นนอนก้น
6. ตั้งไฟให้วุ้นเดือดเป็นฟองใหญ่ แล้วไล่ไปฟองเล็ก ถ้าไฟแรงไปลดลงได้ แต่อย่าอ่อนมากวุ้นจะไม่เดือดและละลายดี
7. เมื่อวุ้นเดือดเป็นฟองเล็กสักพักจึงค่อยใส่น้ำตาลทราย คนพอเข้ากัน ตั้งไฟต่อให้น้ำตาลทรายละลายให้หมดและเดือดฟองเล็กอีกครั้ง
8. ช้อนใบเตยออก (หากมีเวลาก็กรองสัก 1 ครั้ง เพื่อเอาสิ่งปะปนที่อาจติดมากับน้ำตาลทรายออกไป)
ใส่เนื้อมะพร้าวอ่อนที่หั่นชิ้นเล็กไว้ลงไป ตั้งไฟกลางต่อให้เดือดเป็นฟองที่ขอบหม้อ ขั้นตอนนี้ฆ่าเชื้อที่เนื้อมะพร้าวค่ะ ขนมจะได้เก็บได้นานขึ้น
9. ลดไฟลงเป็นไฟอ่อน เทส่วนของกะทิที่เตรียมไว้ลงไป คนให้เข้ากัน รอให้เดือดเป็นฟองที่ขอบหม้ออีกครั้ง จึงปิดเตา
10. เรียงพิมพ์สำหรับบรรจุวุ้นเอาไว้ในถาด รอส่วนผสมวุ้นอุ่นเล็กน้อย จึงตักใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้ แล้วนำแช่ตู้เย็นให้วุ้นเซ็ตตัวค่ะ
11. เวลาแกะวุ้นออกจากพิมพ์ ใช้ไม้จิ้มฟันสะอาดๆกรีดรอบถ้วยหรือพิมพ์ขนมให้ถึงก้นพิมพ์ คว่ำขนมลงกับภาชนะ เนื้อวุ้นจะหลุดมาอย่างง่ายเลยค่ะ

วุ้นกะทิใบเตยสายรุ้ง

วุ้นกะทิใบเตยสายรุ้ง : สูตรนี้ใส่ถ้วยขนาด 3 ออนด์ได้ 67 ถ้วย วุ้นกะทิใบเตยสูตรนี้เป็นพื้นฐานของการทำวุ้น สามารถนำไปปรับปรุงรูปแบบได้อีกมากมาย เช่น วุ้นถาดหรือวุ้นของขวัญให้แช่เย็นไว้ในตู้เย็น 1 คืน ถึงจะแกะออกจากพิมพ์ได้ ส่วนวุ้นถ้วยให้แช่เย็น 3 ชั่วโมง ถึงจะนำมาขายหรือทานได้

ส่วนผสมตัววุ้นใบเตย

1. วุ้นผงตรานางเงือก AA (ซองแถบเขียว) ขนาด 25 กรัม 1 ซอง
2. น้ำตาลทรายขาว 600 กรัม
3. น้ำเปล่า (หรือน้ำมะพร้าวผสมน้ำเปล่า) 3 กิโลกรัม
4. กลิ่นมะลิเล็กน้อย
5. น้ำใบเตยหอม (หรือสีจากธรรมชาติอื่นๆ เช่น น้ำดอกอัญชัน น้ำแครอท ไม้ฝาง กะหล่ำปลีม่วง เป็นต้น)

วิธีคั้นน้ำสีธรรมชาติ
  • ไม้ฝาง ใช้แต่ก้านไม้ฝางมาต้มให้ออกสี
  • ดอกอัญชัน ใช้กลีบดอกมาต้มให้ออกสี
  • ใบเตย หรือ แครอท ใช้น้ำต้มสุกในการนำมาปั่นกับใบเตยหั่นหรือแครอทหั่นเป็นชิ้น
วิธีทำตัววุ้นใบเตย

1. ผสมน้ำเปล่า (หรือน้ำมะพร้าวผสมน้ำเปล่า) กับวุ้นผงคนให้เข้ากัน คนไปทางเดียวกัน แล้วทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีให้วุ้นละลาย นำขึ้นตั้งไฟปานกลางเคี่ยวจนเดือด ระหว่างตั้งไฟให้คนไปทางเดียวกันตลอดเวลาจนเดือดเบาๆ
2. ใส่น้ำตาลทรายลงไป คนไปทางเดียวให้เข้ากันจนน้ำตาลทรายละลาย ตั้งไฟเคี่ยวต่อไปนาน 3 นาที ให้เดือดปุดๆเบาๆ แล้วยกลง หยดกลิ่นมะลิลงไปเล็กน้อย (หรือใครจะไม่ใส่ก็ได้ค่ะ) หลังจากยกลงให้คนไปทางเดียวกันต่อไปอีก 15 นาที คนให้ถึงก้นหม้อ (ไม่งั้นวุ้นจะนิ่ม)
3. ใส่น้ำใบเตยลงไปคนให้เข้ากัน (ถ้าใครทำหลายสีก็ให้แบ่งใส่ภาชนะให้ได้จำนวนตามสี แล้วจึงใส่น้ำใบเตย น้ำอัญชัน น้ำแครอท หรือน้ำสีธรรมชาติที่เตรียมไว้ลงคนให้เข้ากัน) ก่อนผสมน้ำสีธรรมชาติลงในวุ้นให้คนๆตัวสีก่อน วิธีดูสีวุ้นเข้มหรืออ่อน ก็ให้ลองตักใส่ถ้วยใสแล้วส่องที่แดดดูค่ะ

ส่วนผสมหน้าวุ้นกะทิ

1. วุ้นผงตรานางเงือก AA (ซองแถบเขียว) ขนาด 25 กรัม 1 ซอง
2. น้ำตาลทราย 400 กรัม
3. น้ำกะทิ 3 กิโลกรัม
  • ถ้าใช้มะพร้าวขูดให้ใช้ 1 กิโลครึ่ง คั้นให้ได้น้ำกะทิรวมหัวหาง 3000 กรัม)
  • ถ้าใช้กะทิกล่อง แนะนำยี่ห้ออร่อยดี ขนาด 1000 กรัม + น้ำเปล่า 2000 กรัม)
4. เกลือป่น 26 กรัม (2 ช้อนโต๊ะ + 1 ช้อนชา)
  • แนะนำว่าควรใช้เกลือแกงถุงละ 1-2 บาท หรือเกลือป่นปรุงทิพย์ จะผ่านการฟอกรสจะเค็มมาก (10 กรัม = 1 ช้อนโต๊ะ)
วิธีทำหน้าวุ้นกะทิ

1. ผสมวุ้นผงกับน้ำกะทิ คนให้เข้ากัน คนไปทางเดียวกัน ตั้งทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ก่อนยกขึ้นตั้งไฟให้ คนนิดหน่อย แล้วนำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนไปทางเดียวกันตลอดเวลาเรื่อยๆจนเริ่มเดือด
2. ใส่น้ำตาลทรายและเกลือป่นลงไป คนไปทางเดียวกันจนละลาย ปล่อยให้กะทิเดือดเบาๆสักพัก เพื่อให้วุ้นอยู่ได้นาน 1 สัปดาห์ แล้วปิดไฟคนต่อไปเรื่อยๆอีก 15 นาที จนกะทิเป็นเนื้อเดียวกัน (ไม่งั้นวุ้นจะนิ่ม)

วิธีหยอดวุ้นกะทิใบเตยสายรุ้ง

1. หยอดตัววุ้นใบเตยสลับกับหน้าวุ้นกะทิไปเรื่อยๆจนเต็มถ้วย จากนั้นทิ้งไว้ให้เย็น จึงปิดฝา นำเข้าตู้เย็น
2. เวลาหยอดให้รอให้ชั้นวุ้นแต่ละชั้นพอตึงๆก่อน จึงค่อยหยอดชั้นต่อไป (ถ้าเหลวไปสีวุ้นจะไปรวมกัน ถ้าแข็งไปวุ้นจะแยกชั้น)
3. ถ้าใครอยากให้ชั้นวุ้นบางๆ สำหรับถ้วยขนาด 3 ออนด์ ให้ใช้ช้อนพลาสติกเล็กๆตักให้พอดีขอบช้อน จะได้ชั้นวุ้นเท่าๆกันค่ะ

หมายเหตุ
  • ถ้ามีสองเตาและคนทำสองคน ให้ต้มวุ้นพร้อมกันเลยสองเตาเลยค่ะ จะสะดวกและรวดเร็ว
  • ช่วงหยอดวุ้น ถ้าวุ้นในหม้อเริ่มแข็งให้นำไปตั้งไฟอีกครั้งค่ะ
แนะนำสีวุ้นสายรุ้ง 7 สี (น้ำสีธรรมชาติ)

ม่วง - กะหล่ำปลีม่วง
ฟ้า - อัญชัน
เขียว - ใบเตย
ส้ม - แครอทนอก
ชมพู - บีรูท
แดง - ไม้ฝาก
เหลือง - ดอกคำฝอย

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2559

วุ้นกระเจี๊ยบ

วุ้นกระเจี๊ยบ สูตรคุณชำนาญ : รสชาติจะออกเปรี้ยวหวาน แต่ไม่หวานมาก แช่เย็นแล้วทานหอมอร่อยสดชื่นมากๆเลยนะคะ

ส่วนผสมวุ้นกระเจี๊ยบ

1. ผงวุ้น 10 กรัม
2. น้ำเปล่า 500 กรัม
3. น้ำตาลทราย 300 กรัม
4. น้ำกระเจี๊ยบ 500 กรัม

วิธีทำวุ้นกระเจี๊ยบ

1. นำผงวุ้นและน้ำใส่ลงในหม้อคนให้วุ้นละลาย
2. ใส่น้ำตาลทรายลงไปคนให้ละลาย แล้วตั้งทิ้งไว้ 10-15 นาที เพื่อให้ผงวุ้นอิ่มตัว
3. เมื่อครบเวลาให้คนๆให้วุ้นละลาย แล้วนำไปตั้งไฟจนเดือดสักครู่ ปิดไฟ ยกลงทิ้งไว้พอให้วุ้นอุ่นๆ
4. นำน้ำกระเจี๊ยบที่เตรียมไว้เทลงในวุ้นที่อุ่นๆ แล้วคนให้เข้ากัน
5. เทใส่พิมพ์ ทิ้งไว้ให้วุ้นเซทตัวดี จึงแกะออกจากพิมพ์

ส่วนผสมน้ำกระเจี๊ยบ

1. กระเจี๊ยบแห้ง 25 กรัม (จะใช้กระเจี๊ยบสดก็ได้นะคะ รสชาติจะเข้มข้นกว่าใช้กระเจี๊ยบแห้ง)
2. น้ำเปล่า 500 กรัม

วิธีทำน้ำกระเจี๊ยบ

1. นำกระเจี๊ยบแห้งและน้ำใส่ลงในหม้อ นำไปต้มจนออกรสออกสี ปิดไฟ
2. กรองกากออก ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น
3. ชั่งน้ำหนักอีกครั้งให้ได้ 500 กรัม เพื่อทำวุ้นกระเจี๊ยบ ถ้าไม่ถึง 500 กรัม ให้เติมน้ำสะอาดลงไปให้ครบ 500 กรัม เสร็จแล้วพักไว้

หมายเหตุ
 
• ห้ามนำน้ำกระเจี๊ยบใส่ลงไปต้มพร้อมกับวุ้นเด็ดขาด
• เมื่อผสมน้ำกระเจี๊ยบในวุ้นแล้ว ห้ามนำไปต้มอีก เพราะวุ้นจะไม่เซตตัว
• หากทำวุ้นผลไม้รสเปรึ้ยว ต้องเพิ่มผงวุ้นมากกว่าสูตรธรรมดา

เค้กแยมส้มโบราณ

เค้กแยมส้มโบราณ (เค้กส้มร้าน ป.ประดิษฐ์) : เป็นสูตรที่แกะมาจากเค้กส้มร้าน ป.ประดิษฐ์ เจ้าของสูตรแนะนำว่าตัวเค้กจะใช้บัตเตอร์เค้กหรือสปันจ์เค้กก็ได้ค่ะ (แต่ที่เจ้าของสูตรคุณปันลองทำออกมา คิดว่าถ้าใช้เป็นสปันจ์เค้กจะเหมาะกว่านะคะ เพราะรสชาติแยมจะได้โดดเด่นค่ะ)


ส่วนผสมหน้าแยมส้ม

1. ส้มนาเวล 1 ผล
2. น้ำเชื่อมลิน 2 ถ้วยตวง
3. น้ำผึ้ง 1/2 ถ้วยตวง
4. ผงวุ้น 2 ช้อนขา
5. น้ำเปล่า 400 กรัม
6. แยมสเปรดส้ม เบสท์ฟู้ด 3 ถ้วยตวง (หรือแยมส้มยี่ห้อไหนก็ได้ตามชอบ)
7. น้ำส้มซันควิก (ฝาเขียว) 3/4 ถ้วยตวง (ถ้าใครชอบให้ออกรสเปรี้ยวหน่อยก็เพิ่มเป็น 1 ถ้วยตวงได้ค่ะ)
8. แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ
9. วัตถุดิบสำหรับแต่งหน้าเค้ก เช่น เม็ดมะม่วง เชอร์รี่เชื่อม ลูกเกด เมล็ดแตงโม บัตเตอร์ครีม เป็นต้น

วิธีทำหน้าแยมส้ม

1. นำส้มตัดหัวท้ายออก แล้วหั่นเป็นแว่นประมาณ 4 ชิ้น นำไปตั้งไฟกลางรวมกับน้ำเชื่อมและน้ำผึ้ง  เคี่ยวไปเรื่อยๆจนเหนียวและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม (ระวังไหม้ด้วยนะคะ) พอเริ่มเปลี่ยนสีนิดนึงให้ตักแบ่งใส่ถ้วยออกมาหน่อยสำหรับชุบเครื่องแต่งหน้าเค้กที่เตรียมมา จากนั้นปิดเตาตั้งทิ้งไว้ พอเย็นตัวมันอาจจะแข็งติดหม้อเลยก็ไม่เป็นไรค่ะ
2. ละลายผงวุ้นและแป้งข้าวโพดกับน้ำเปล่าในอ่างผสม คนด้วยตะกร้อมือสักพักให้ละลายดี ใส่น้ำส้มซันควิกลงไป คนต่อให้เข้ากัน
3. หั่นส้มที่เหลือเป็นแว่นๆ แล้วแบ่งครึ่งใส่ลงไปในอ่างผสม
4. ตั้งเตาน้ำเชื่อมที่เราพักทิ้งไว้อีกครั้ง (จากข้อ 1.) แล้วเทส่วนผสมที่ผสมไว้ในอ่างผสมทั้งหมดลงไป ใช้ไฟกลางค่อนไปทางอ่อน คนไปเรื่อยๆ
5. ใส่แยมส้มลงไป คนต่อไปจนเดือด ปิดไฟ ตั้งพักทิ้งไว้จนอุ่นค่อยไปทางเย็นหน่อย (หมั่นคน) ซอสแยมส้มที่ได้จะเหนียวๆ สีจะเข้มสวยไม่ต้องใช้สีผสมอาหารช่วยเลยค่ะ
6. นำไปราดที่หน้าเค้กเกลี่ยให้สวย ส่วนด้านข้างตัวเค้ก เมื่อซอสแยมส้มเย็นตัวแล้วก็เอามาป้ายแต่งเค้กด้านข้างได้ตามชอบเลยค่ะ (เนื้อส้มที่อยู่ในนั้นไม่ต้องเขี่ยทิ้งนะคะ ใส่ไว้แบบนั้น ซอสจะได้หอมๆ)
7. แต่งหน้าเค้กด้วยเม็ดมะม่วงอบ ลูกเกด เมล็ดแตงโมอบ โดยนำไปชุบน้ำเชื่อมที่เราแบ่งทิ้งไว้จากข้อ 1.ก่อนจะได้เงาสวยค่ะ

เค้กส้มในตำนาน

เค้กส้มในตำนานพันทิพ (สูตรแม่สลิ่ม)

ส่วนผสมตัวเค้ก (Sponge Cake) - สำหรับ 3 ปอนด์

1. แป้งเค้กตราพัดโบก 100 กรัม
2. ผงฟู 1 ช้อนชา
3. น้ำตาลทราย 80 กรัม
4. นมข้นจืด 40 กรัม         
5. น้ำสะอาด 30 กรัม         
6. ไข่ไก่ (เบอร์ 0) 3 ฟอง
7. เกลือ 1/4 ช้อนชา
8. สารเสริม SP 10-15 กรัม 
9. เนยสดละลาย 80 กรัม
10. กลิ่นส้ม 1 ช้อนชา

หมายเหตุ
  • ไข่ไก่เบอร์ 0 ควรใช้เป็นไข่ไก่สดและอยู่ในอุณภูมิห้อง ไข่ที่ตอกออกมาถ้าไม่เป็นน้ำเหลวจนเกินไป ถือว่าใช้ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นความสดของไข่ไก่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยในปริมาณของเค้กที่จะตีได้
  • สาร SP (เอสพี (SP) หรือ สารอิมัลซิไฟเออร์ (Emulsifier)) เป็นสารที่ช่วยลดเวลาการตีของเค้กในขึ้นฟู โดยมักใส่ในปริมาณ 3.5 - 5% ของสูตรขนม เป็นสารที่ทำให้ไขมันกับไข่เข้ากันได้ดีขึ้น
  • เนยจืด และ เนยเค็ม หากใช้เนยจืดใส่เกลือตามสูตรได้เลย หากใช้เนยเค็มจะข้ามขั้นตอนการใส่เกลือก็ได้ เพราะเกลือแทบจะไม่มีผลต่อรสชาติขนมที่ต่างกันมากนัก ถ้าถามว่าใช้เนยเค็มแล้วใส่เกลือได้ไหม ? ได้ครับค่ะ เพราะปริมาณเปอร์เซ็นของเกลือในเนยมีน้อยมาก เมื่อพิจารณาจากสัดส่วน   
  • กลิ่นส้ม ควรเลือกใช้ชนิดออยดีกว่า เพราะให้กลิ่นที่หอมกว่า แต่หากมีพอมีทุน เราแนะนำกลิ่นส้มคุณภาพดียี่ห้อ McCormick จพหอมกว่าจริงๆค่ะ
วิธีทำตัวเค้ก (Sponge Cake)

1. วอร์มเตาที่ 175 องศา ไฟบนไฟล่าง ไม่เปิดพัดลมกระจายความร้อน ตรงนี้ขึ้นอยู่กับเตาอบแต่ละบ้านด้วยนะคะว่าเป็นแบบไหน บางเตาอาจต้องเปิดถึง 180 องศา แต่ถ้าเป็นเตาใหญ่ๆที่มีขนาด 50 ลิตรขึ้นไป อุณภูมิคงที่ ไม่สูงๆต่ำๆก็เปิด 175 องศาพอค่ะ
2. ตัดกระดาษไขรองก้นพิมเค้กขนาด 3 ปอนด์ ไม่ต้องทาไขมันใดๆทั้งสิ้น
3. ร่อนแป้งกับผงฟู แล้วพักไว้
4. ใส่น้ำ นมข้นจืด น้ำตาลทราย ไข่ไก่ และเกลือลงไปในอ่างผสม ปาด SP ไว้ที่หัวตะกร้อ แล้วนำส่วนผสมที่อยู่ในอ่างผสมมาตีด้วยความเร็วสูงสุด 10 นาที
5. เมื่อครบ 10 นาที เช็คส่วนผสมที่ได้ จะต้องขึ้นฟูข้นเหนียวขาว ไม่เป็นฟอง และไม่หยดลงเป็นสาย
6. ใส่แป้งและผงฟูที่ร่อนไว้ทั้งหมดลงไปตีต่อด้วยความเร็วต่ำ 1 นาที เพื่อให้แป้งพอเข้ากันและไม่ฟุ้งกระจาย
7. เมื่อครบ 1 นาที ใช้พายยางปาดขอบอ่างและก้นอ่างผสม เพื่อป้องกันส่วนผสมนอนก้น และตีต่อด้วยความเร็วปานกลาง 5 นาที เพื่อให้ส่วนผสมข้นเหนียว
8. ระหว่างนี้นำเนยที่ตวงไว้ไปละลาย หรือใครจะนำเข้าละลายในไมโครเวฟก็ได้ เนยที่ใช้ต้องเป็นเนยอุ่นไปทางร้อน ถ้ากลัวเนยไม่ร้อน แนะนำให้หาชามหนึ่งใบใส่น้ำร้อน แล้วนำถ้วยใส่เนยละลายแล้วตั้งลงไป จะได้ไม่ต้องไปอุ่นเนยให้ร้อนหลายรอบค่ะ
9. เมื่อครบ 5 นาที ใช้พายยางปาดอ่างและก้นอ่าง เพื่อป้องกันส่วนผสมนอนก้อน เมื่อปาดอ่างเสร็จใส่กลิ่นส้มลงไป และตีด้วยความเร็วต่ำ 1 นาที เพื่อตัดฟองอากาศใหญ่ๆออกไป
10. ครบ 1 นาที ใช้พายยางปาดอ่าง และจับเวลาตีต่อ 3 นาที ทุกๆ 1 นาทีใน 3 นาทีนี้ ให้ค่อยๆทยอยใส่เนยละลายลงไปทีละช้อน นาทีละ 3-4 ช้อนเป็นสายเล็กๆ เมื่อครบ 1 นาที หยุดเครื่อง ปาดอ่าง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนครบสามรอบ ปาดอ่างทุกๆ 1 นาที เนยต้องอุ่น วิธีนี้เป็นวิธีป้องกันเรื่องเค้กเป็นไต ส่วนผสมนอนก้น แนะนำว่าให้ยอมเสียเวลาดีกว่าเสียเค้กต้องเททิ้งทำใหม่
11. เมื่อครบ 3 นาที ให้ใช้พายยางปาดอ่างครั้งสุดท้าย และเพื่อเป็นการตรวจสอบให้แน่ใจว่าส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดีไม่นอนก้น ส่วนผสมที่ได้จะเป็นเนื้อเนียนเหลว แต่ไม่มาก
12. นำส่วนผสมที่ได้เทใส่พิม เทต่ำๆ เพื่อก้นฟองอากาศเข้าไปเพิ่มอีก ใช้วิธีการหมุนพิม เพื่อให้ส่วนผสมเรียบเนียน เคาะก้นพิมพ์เบาๆ เพื่อไล่ฟองอากาศครั้งสุดท้าย
13. นำเข้าอบประมาณ 25-30 นาที
14. เมื่อครบเวลา เช็คว่าสุกหรือยังด้วยการใช้มือแตะที่หน้าเค้กเบาๆ หน้าเค้กจะสปริงตัวกลับไม่ทิ้งรอยบุ๋ม เมื่อแน่ใจว่าเค้กสุก กระแทกพิมพ์ 1 ครั้งบนโต๊ะ เพื่อให้โครงสร้างเค้กอยู่ตัว แล้ววางไว้บนตะแกรงให้เย็นสนิ
15. ทิ้งไว้ให้เย็น ใช้มีดปลายแหลมแซะข้างขอบพิมพ์ คว่ำเนื้อเค้กลงบนตะแกรง ดึงกระดาษออกจากก้นเค้ก แล้วทิ้งไว้ต่ออีก 10 นาที เพื่อให้เค้กเย็นก่อนนำมาสไลด์ ใช้มีดฟันเลื่อย เกลาๆเศษเค้กที่เป็นรอยเกลี้ยมๆออกด้วยจะได้สวยงาม
16. พักตรงส่วนนี้ไว้ก่อน แล้วไปทำหน้าส้มกันค่ะ

หมายเหตุ
  • การไม่เปิดพัดลมกระจายความร้อน เพื่อที่จะให้เค้กมีสีสม่ำเสมอกัน เพราะบางทีเปิดพัดลมกระจายความร้อน ขอบเค้กสีเข้ม สีอ่อนบ้าง แนะนำว่าไม่เปิดดีกว่า
  • อุณภูมิของห้องไม่ควรร้อนจนเกินไป เพราะมีผลต้องการตีไข่ขึ้นฟู
  • การปาดอ่างบ่อยๆเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันเค้กเป็นไตได้
ส่วนผสมหน้าซอสส้ม

1. น้ำสะอาด 300 กรัม
2. น้ำส้มซันควิก 75 กรัม
3. น้ำตาลทราย 90 กรัม
4. แป้งกวนไส้ 25 กรัม
5. เนยสดรสเค็มหั่นเต๋า 25 กรัม
6. น้ำมะนาว 1+1/2 ช้อนช้า
7. สีผสมอาหารสีส้มปริมาณตามต้องการ

(สูตรนี้จะราดได้เค้ก 2 ปอนด์ หากตีเค้กสูตรด้านบนได้ที่จริงๆจะได้เค้กสามปอนด์ ดั้งนั้นต้องคูณ 1.5 สำหรับซอสส้มในการราดเค้กส้ม 3 ปอนด์ จะใส่ซอสส้มหมดพอดี หากเป็นทศนิยมปัดขึ้นไปเลยค่ะ)

หมายเหตุ
  • สูตรข้างต้นยังไม่ได้คูณ 1.5
  • น้ำส้มซันควิกจะมีสองแบบ คือ ฝาขวดสีแดง และ ฝาขวดสีเหลือง ฝาขวดสีแดงจะไม่แต่งสีเพิ่มหรือแต่งเพิ่มนิดหน่อยได้ แต่ถ้าฝาสีเหลืองควรแต่งสี เพราะสีซอสที่ได้จะเหลืองเกินไป
  • แป้งกวนไส้ แนะนำตราดาว ยี่ห้อนี่จะทำให้ซอสอยู่ตัวมากกว่า
  • เนย ควรหั่นเต๋า และอยู่ในอุณภูมิห้อง เพื่อที่จะได้ละลายเร็วขึ้น
  • น้ำมะนาว จะใส่ก็ได้ไม่ใส่ก็ได้ขึ้นกับความชอบ
  • คำแนะนำสำหรับสีผสมอาหารขึ้นอยู่กับความต้องการ แต่แนะนำว่าให้สีออกส้มเข้มสักนิดนึงเพราะ สีโทนส้มแดง มักเรียกความอยากอาหารและดูเป็นเค้กส้มสีสวยน่าทานได้เป็นอย่างดี
วิธีทำหน้าซอสส้ม

1. นำน้ำสะอาด น้ำส้มซันควิก น้ำตาลทราย และแป้งกวนไส้ใส่หม้อคนให้แป้งละลายก่อน จึงยกขึ้นตั้งไฟอ่อนถึงปานกลาง คนไปเรื่อยๆ
2. เมื่อกวนหน้าส้มได้สักพัก ส่วนผสมจะหนืดขึ้นและทิ้งรอยอยู่บนตะกร้อมือ ก็ใส่สีส้มลงไป (ปริมาณตามชอบ) คนให้สีกระจายตัวให้ดี (ตรงนี้จะใส่กลิ่นส้มลงเพิ่มไป 1/2 ช้อนช้าด้วยก็ได้นะคะ เพื่อให้กลิ่นความเป็นส้มชัดขึ้นค่ะ)
3. เมื่อทุกอย่างเข้ากันดี ปิดไฟ ใส่เนยสดรสเค็มหั่นเต๋าลงไป คนให้เข้ากันเบาๆ เพื่อลดอุณภูมิและเพื่อเพิ่มความเข้มข้นของรสชาติ ยกลงจากเตา หากใครต้องการใส่น้ำมะนาวเพื่อเพิ่มความเปรี้ยว ให้ใส่ตอนนี้เลยค่ะ (เราจะไม่ใส่น้ำมะนาวลงไปตอนตั้งไฟ เพราะน้ำมะนาวเมื่อโดนความร้อน จะมีรสชาติขม) คนให้เข้ากันอีกครั้ง ก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมราดลงบนตัวเค้กแล้ว
4. กลับไปที่ตัวเค้กที่เราสไลด์เป็นชั้น (จะสไลด์ไว้ 2-3 ชั้นก็ตามชอบเลยค่ะ) นำซอสส้มมาทาระหว่างชั้นเค้กที่สไลด์ให้ทั่วประมาณ 5-6 ช้อนโต๊ะ เกลี่ยให้ทั่ว
5. นำชั้นเค้กมาประกอบ ทำไปเรื่อยๆจนชั้นสุดท้าย
6. ถึงหน้าเค้กบนสุด เทซอสส้มที่เหลือทั้งหมดลงไปบนหน้าเค้กชั้นบนสุด เทจนหมดหม้อ เทต่ำๆหน้าจะเนียน ซอสส้มจะไหลและไปคลุมข้างเค้กโดยอัตโนมัติ
7. เก็บรายละเอียดข้างเค้กด้วยการนำการ์ดแข็งๆปาดขึ้น (อย่าปาดลงนะคะ)
8. นำเข้าตู้เย็นประมาณ 2 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อยก่อนตัดเสริฟ เพื่อให้เค้กเช็ตตัวและรสชาติที่ดียิ่งขึ้นค่ะ

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2559

โดนัทจิ๋วนมสด

โดนัทจิ๋วนมสด :: สูตรนี้จะมีรสสัมผัสคล้ายขนมไข่ ตอนร้อนๆจะกรอบนอกนุ่มในค่ะ ตอนเย็นแล้วเนื้ออาจไม่แน่นเกินเหมือนสูตรทั่วไป แต่ทานง่าย และสูตรนี้หากเก็บในตู้เย็นตอนทำเสร็จจะอยู่ได้เป็นเดือนโดยที่ไม่ขึ้นราค่ะ เมื่อนำออกมาวางอุณหภูมิปกติก่อนทาน สักครู่เดียวเนื้อจะนุ่มนิ่มเหมือนเดิมค่ะ สามารถทำทานเองหรือจะทำขายก็ค่อนข้างได้กำไรดีค่ะ

ส่วนผสมโดนัทจิ๋วนมสด (ได้ประมาณ 80 ชิ้น)


1. แป้ง UFM 450 กรัม (ถ้าเหลวให้ใส่เพิ่มอีก +3ช้อนโต๊ะ)
2. น้ำตาล 1-2 ช้อนโต๊ะ
3. นมสดโฟร์โมสต์ 250-300 มิลลิลตร (1 กล่อง)
4. ไข่ไก่ 3 ฟอง
5. ผงฟู 4 ช้อนชา
6. เกลือเล็กน้อยประมาณ 1/4 ช้อนชา
7. น้ำมันถั่วเหลือง (หรือ คาโนล่า หรือ ทานตะวัน หรือ น้ำมันรำข้าว) 8 ช้อนโต๊ะ
8. กลิ่นวานิลลา 1-2 ช้อนชา (เพิ่มลดได้ตามความชอบค่ะ)

วิธีทำโดนัทจิ๋วนมสด

1. ตอกไข่ไก่ 3 ฟอง ใส่น้ำตาล แล้วตีให้ไข่เริ่มตั้งยอด
2. นำแป้ง ผงฟู และเกลือใส่ลงในอีกโถ คนผสมให้เข้ากัน
3. เมื่อไข่น้ำตาลที่ตีตั้งยอด ก็ใส่นมสดโฟร์โมสต์ กลิ่นวานิลลา น้ำมัน และแป้งที่เราผสมไว้ลงไปตีให้เข้ากัน พักแป้งไว้ 30 นาที (หรือมากกว่านั้นก็ตามสะดวกค่ะ) เพราะแป้งจะฟูขึ้นค่ะ
4. เสร็จแล้วนำใส่ขวด บีบใส่พิมพ์อบให้เรียบร้อยค่ะ (โดนัทจิ๋วก็ใช้เครื่องทำโดนัทที่มีขายอยู่ทั่วไปค่ะ)

หมายเหตุ

1. หากคิดว่าแป้งเหลวไป เนื้อนิ่มไปอยากให้เนื้อแน่น แนะนำเติมแป้งบัวแดง 1-2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำตาลเพิ่มเล็กน้อย จะได้เนื้อที่แน่นขึ้นค่ะ และไม่จืดเกินไปค่ะ
2. หากต้องการรสช็อคโกแลต เพิ่มผงโกโก้ 2-4 ช้อนโต๊ะ
3. กลิ่นใบเตย เติมกลิ่นใบเตย 2-4 ช้อนชา และหยดสีเขียวแอปเปิ้ลลงไปเล็กน้อยให้ได้สีตามที่ต้องการค่ะ
4. รสส้ม เติมน้ำส้มซันควิก 2 ช้อนโต๊ะ กลิ่นส้ม 2 ช้อนชา สีส้มหรือสีเหลืองมะนาวตามความชอบค่ะ
5. รสสตรอเบอรี่ เติมกลิ่นสตรอเบอร์รี่ 1 ช้อนโต๊ะ สีแดงสตรอเบอรี่ตามความชอบค่ะ
6. แบบเคลือบช็อคโกแลต ใช้ช็อคโกแลตตราช้างหั่นแบ่งตามที่เราใช้ ใส่เวฟแล้วแต่ว่าจะใช้ไฟแรงเท่าไหน ประมาณ 25 วินาที เสร็จแล้วนำโดนัทมาชุบเคลือบ แล้ววางบนตะแกรงโรยเม็ดๆ แล้วรอแห้งได้เลยค่ะ

น้ำพริกไข่เค็มกุ้งสด

น้ำพริกไข่เค็มกุ้งสด

ส่วนผสมน้ำพริกไข่เค็มกุ้งสด

1. กุ้งสด 8 ตัว
2. พริกขี้หนูซอย 12 เม็ด
3. หอมแดงซอย 8 หัว
4. กะปิ 2 ช้อนโต๊ะ (ห่อใบตองย่างให้หอม)
5. มะนาว 1-2 ลูก
6. น้ำตาลโตนด 2 ช้อนโต๊ะ
7. ไข่เค็ม 2 ฟอง (เฉพาะไข่แดง)
8. น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำน้ำพริกไข่เค็มกุ้งสด

1. นำกุ้งสดมาต้มใส่เกลือ พอสุกยกลงพักไว้ให้เย็น แกะเปลือกเด็ดหัวผ่าหลังชักเส้นดำออก
2. จากนั้นนำน้ำตาลโตนดใส่ครกใส่น้ำปลาบี้ๆรวมกัน ใส่กะปิลงคลุกให้เข้ากัน และใส่กุ้งต้มลงคลุกให้พอเข้ากัน
3. ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว เทน้ำต้มกุ้งนิดหน่อยลงไป ใส่หอมแดงซอยและพริกขี้หนูซอยลงเคล้าให้เข้ากัน
4. ไข่เค็มใช้เฉพาะไข่แดงให้หั่นเป็นชิ้นเล็กๆผสมให้เข้ากันก็เป็นอันเสร็จ เสิร์ฟทานกับผักสด ผักต้ม ข้าวสวยร้อนๆได้เลยค่ะ

หมี่กรอบ

หมี่กรอบ :: อาหารว่างไทยโบราณมีรสหวาน เปรี้ยว เค็ม มีกลิ่นหอมของส้มซ่า ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของอาหารชนิดนี้ เวลาทานจะเคียงด้วยถั่วงอกและใบกุ้ยช่าย หมี่กรอบสูตรนี้เป็นแบบแห้งจะเก็บไว้ได้ 2-3 วัน

ส่วนผสมหมี่กรอบ

1. เส้นหมี่แห้ง 100 กรัม (ชุบน้ำแล้วผึ่งไว้ให้แห้ง)
2. กุ้งแห้ง 2 ช้อนโต๊ะ (ใส่กุ้งสดและหมูสับเพิ่มด้วยก็ได้ค่ะ)
3. เต้าหู้แข็ง 1 แผ่น (หั่นชิ้นเล็ก)
4. หอมสับ 2 ช้อนโต๊ะ
5. กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
6. ใบกุยช่ายหั่นท่อน 3 ช้อนโต๊ะ
7. ใบผักชี 1 ต้น
8. พริกสดหั่นเส้นยาว 1 เม็ด
9. ไข่เป็ด 1 ฟอง (ใช้ทำไข่ฝอย)
10. น้ำมันสำหรับทอด
11. น้ำปรุงหมี่
  • น้ำตาลปี้บ 3 ช้อนโต๊ะ
  • เต้าเจี้ยว 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมะนาว 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำส้มซ่า 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำกระเทียมดอง 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
  • ผิวส้มซ่าซอยเล็กๆ 1 ช้อนโต๊ะ (แบ่งไว้โรยหน้าด้วยครึ่งหนึ่ง)

วิธีทำหมี่กรอบ

1. นำเส้นหมี่ไปทอดในน้ำมันให้กรอบ โดยแบ่งทอดทีละน้อย เพื่อให้กรอบทั่ว เสร็จแล้วตักพักให้สะเด็ดน้ำมัน แล้วใส่ภาชนะมีฝาปิด พักไว้
2. นำเต้าหู้แข็งหั่นชิ้นเล็กลงทอดให้เหลืองกรอบ พักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน
3. ตอกไข่เป็ดตีให้ไข่แดงกับไข่ขาวเข้ากันดี แล้วใช้นิ้วมือจุ่มไข่ แล้วโรยโดยสบัดมือให้ไข่เป็นเส้นๆ ลงในกระทะที่น้ำมันร้อนๆ ทอดไข่ให้กรอบทั้งสองด้าน ตักขึ้นพักไว้ (จะเทไข่ใส่กระชอน แล้วโรยลงกระทะก็ได้ค่ะ)
4. ทอดกุ้งแห้งให้กรอบพักไว้
5. ตั้งกระทะใส่น้ำมันใหม่ลงไป 3 ช้อนโต๊ะ ใส่หอมสับและกระเทียมสับลงไปเจียวให้เหลืองกรอบ แล้วตักขึ้นพักไว้ (น้ำมันเก็บไว้ทำน้ำปรุงหมี่)
6. ต่อมาเรามาเตรียมน้ำปรุงหมี่
  • ใส่น้ำตาลปี้บลงในกระทะน้ำมันที่เจียวหอมกระเทียม คนให้น้ำตาลละลาย ใส่เต้าเจี้ยวลงผัดให้เข้ากัน แล้วใส่น้ำมะขามเปียก น้ำกระเทียมดอง และน้ำปลาลงเคี่ยวให้เข้ากัน จนน้ำปรุงมีลักษณะเริ่มข้น ใส่น้ำมะนาวและน้ำส้มซ่าลงคนให้เข้ากัน
7. จากนั้นลดไฟลงอ่อนๆ ทยอยใส่เส้นหมี่ทอดลงคลุกเคล้ากับน้ำปรุง โดยใช้ทัพพี 2 อันสรงเส้นหมี่ขึ้น พอเริ่มเข้ากันดี ใส่เต้าหู้ทอด กุ้งแห้งทอด หอมเจียว กระเทียมเจียว ผิวส้มซ่า และไข่ฝอยลงคลุกเคล้าให้เข้ากัน (อย่าลืมเหลือผิวส้มซ่าและไข่ฝอยไว้โรยหน้าด้วยนะคะ)
8. ตักหมี่กรอบใส่จาน โรยหน้าด้วยใบกุยช่ายหั่นท่อน ผิวส้มซ่า ไข่ฝอย พริกสด และผักชี ส่วนหมี่กรอบที่เหลือที่ยังไม่ทานให้ใส่ภาชนะมีฝาปิดไว้ เพื่อให้คงความกรอบค่ะ

แกงเผ็ดไก่หน่อไม้ดอง

แกงเผ็ดไก่หน่อไม้ดอง

ส่วนผสมแกงเผ็ดไก่หน่อไม้ดอง

1. สะโพกไก่สับ 3 ขีด
2. หน่อได้ดอง (ล้างน้ำบีบให้แห้ง) 3 ขีด
3. พริกแกงเผ็ด 2 ช้อนโต๊ะ
4. หัวกะทิ 1+1/2 ถ้วย
5. หางกะทิ 1-2 ถ้วย
6. เกลือ 1 ช้อนชา
7. น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
8. น้ำตาลปิ๊บ 1/2 ช้อนโต๊ะ
9. ใบมะกรูดฉีก 3 ใบ
10. ใบโหระพา 1 ถ้วยเล็ก

(ส่วนผสมสามารถลดหรือเพิ่มได้ตามความชอบ เพราะแต่ละบ้านกินรสชาติแตกต่างกันค่ะ)

วิธีทำแกงเผ็ดไก่หน่อไม้ดอง

1. นำกระทะตั้งไฟ ใส่หัวกะทิลงไปก่อน 1/2 ถ้วย เคี่ยวให้พอแตกมันเล็กน้อย
2. ใส่พริกแกงเผ็ดลงผัดให้หอม ใส่เนื้อไก่ลงไปผัดให้เข้ากันดี ใส่หัวกะทิส่วนที่เหลือและเติมหางกะทิลงไปต้มให้เดือด พอเดือดใส่หน่อไม้ดองที่ล้างน้ำบีบให้แห้งแล้วตามลงไป
3. ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำปลา และน้ำตาลปิ๊บลงไปคนให้เข้ากัน ชิมรสให้ได้ตามต้องการ ใส่ใบมะกรูดฉีกและใบโหระพาลงไป ก็เป็นอันเสร็จปิดเตาไฟ ตักใส่ชามเสิร์ฟทานกับข้าวสวยร้อนๆได้เลยค่ะ

หมูหมักทอด

หมูหมักทอด

ส่วนผสมหมูหมักทอด

1. หมูสามชั้น 200 กรัม
2. น้ำปลา 1/2 - 2 ช้อนโต๊ะ
3. ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
4. ซอสฝาเขียว 1/2 ช้อนโต๊ะ
5. น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ
6. พริกไทยป่น 1/2 ช้อนโต๊ะ
7. น้ำมัน 1/2 ลิตร

วิธีทำหมูหมักทอด

1. นำหมูสามชั้นมาหั่นเป็นชิ้นหนาบางตามชอบ ใส่น้ำปลา ซีอิ้วขาว ซอสฝาเขียว น้ำตาลทราย และพริกไทยป่นลงคลุกเคล้าให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ในตู้เย็นอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
2. ตั้งกระทะเปิดไฟอ่อน ใส่น้ำมัน รอให้ร้อน นำหมูลงทอดให้สุกและสีสวย ระหว่างทอดใช้ฝาปิดกระทะไว้แล้วเร่งไฟแรง และหมั่นดูและคนเป็นระยะจนหมูสุกสีสวย (เวลาจะเปิดดูอย่าลืมหรี่ไฟลงนะคะ ไม่งั้นน้ำมันกระเด็นค่ะ) ปิดไฟ ตักพักให้สะเด็ดน้ำมัน ใส่จานเสิร์ฟทานกับน้ำพริกปลาร้าได้เลยค่ะ

น้ำพริกปลาร้า

น้ำพริกปลาร้า

ส่วนผสมน้ำพริกปลาร้า

1. พริกหนุ่ม 5 เม็ด
2. พริกชี้ฟ้า 4 เม็ด
3. กระเทียมกลีบใหญ่ 3 กลีบ
4. หอมแดง 3 หัว
5. มะเขือเทศ 2 ลูก
6. น้ำปลาร้า

วิธีทำน้ำพริกปลาร้า

1. นำพริกหนุ่ม พริกชี้ฟ้า กระเทียม หอมแดง และมะเขือเทศมาย่างจนสุกแกะเปลือกออก (ใช้ส้อมจิ้มมะเขือเทศให้ทั่วจะได้สุกเร็วขึ้นค่ะ)
2. ใส่ครกลงโขลกให้เนื้อเนียนเข้ากัน ใส่น้ำปลาร้าตามชอบก็เป็นเสร็จเรียบร้อยพร้อมทานค่ะ (ถ้าอยากให้น้ำปลาร้ากลิ่นฉุน ก็ใส่น้ำปลาด้วยก็ได้ค่ะ)

ทอดมันข้าวโพด

ทอดมันข้าวโพด

ส่วนผสมทอดมันข้าวโพด

1. ข้าวโพดดิบ
2. พริกใหญ่แห้ง
3. พริกขี้หนูแห้ง
4. ผิวมะกรูด
5. ข่า
6. ตะไคร้
7. กะปิ
8. เกลือ
9. หอมแดง
10. กระเทียม
11. ใบมะกรูด
12. ไข่ไก่
13. น้ำปลา
14. แป้งข้าวโพด

วิธีทำทอดมันข้าวโพด

1. อันดับแรกเรามาตำพริกแกงกันก่อน (หรือจะใช้พริกแกงสำเร็จก็ได้ค่ะ)
  • ล้างพริกใหญ่และพริกขี้หนูแห้งให้สะอาดเนื่องจากจะมีฝุ่นและป้องกันสิ่งแปลกปลอม
  • ซอยข่า ตะไคร้ ผิวมะกรูด
  • นำทั้งหมดใส่ลงครก (ถ้าเน้นสะดวกก็เครื่องปั่นเลยครับ)
  • เติมเกลือและกะปิลงไป (เกลือจะช่วยให้พริกแกงแหลกไวขึ้น)
  • หลังจากนั้นตำให้แหลก
  • ใส่หอมและกระเทียมตำให้ละเอียด
2. ต่อมาให้หั่นข้าวโพดดิบเตรียมไว้
3. นำข้าวโพดที่เราเตรียมไว้มาผสมกับพริกแกงที่เราตำไว้ในครก และตำให้พอแหลก เพื่อช่วยให้เครื่องพริกแกงเข้าเนื้อและจะสุกง่าย
4. เมื่อตำได้ปริมานที่ต้องการก็ซอยใบมะกรูดใส่ลงไป ตามด้วยไข่ไก่และน้ำปลา เพื่อเพิ่มความหอมและรสชาติ และใส่แป้งข้างโพดเล็กน้อย เพื่อให้ทอดมันเราเกาะตัวกันดีขึ้นและมีความกรอบ
5. ตั้งกระทะใช้ไฟกลาง เมื่อน้ำมันร้อน ตักทอดมันที่เราเตรียมไว้ลงไปทอด อาจจะปั้นเป็นแผ่นหรือตักลงไปด้วยช้อนเป็นก้อนก้ได้ ทอดจนกว่าจะเหลืองหอมก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยพร้อมทานค่ะ

ไก่ทอด

ไก่ทอด

ส่วนผสมไก่ทอด

1. น่องไก่ชิ้นใหญ่ 1 กิโลกรัม (นำมาสับให้ได้ 3 ชิ้น)
2. กระเทียม
3. พริกไทยดำ 2 ช้อนชา
4. ลูกผักชี 1 ช้อนชา
5. ลูกยี่หร่า 1 ช้อนชา
6. เกลือป่น 2 ช้อนชา
7. น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
8. แป้งข้าวจ้าว 5-6 ช้อนชา
9. น้ำปูนใส 1/2 แก้ว
10. หอมแดงซอยบางๆ 1-2 ลูกใหญ่


วิธีทำไก่ทอด

1. นำน่องไก่มาสับให้ได้ 3 ชิ้น
2. นำกระเทียม พริกไทยดำ ลูกผักชี ลูกยี่หร่ามาโขลกให้ละเอียด แล้วตักใส่ชามผสม ปรุงรสด้วยเกลือป่น น้ำตาลทราย แป้งข้าวจ้าว และน้ำปูนใส คนผสมให้เข้ากัน
3. ใส่น่องไก่ลงในชาม คลุกเคล้าให้ทั่ว 5-10นาที หมักทิ้งไว้ในตู้เย็นอย่างน้อย 1 ชั่วโมง (ถ้าอยากให้กรอบอร่อย ให้หมักเช้าทอดเย็น หมักเย็นทอดเช้าเลยค่ะ จะทานค่อยทอด)
4. หมักจนได้ที่ให้นำน่องไก่ลงทอดด้วยไฟกลางๆจนเหลืองกรอบได้ที่ ตักขึ้นพักสะเด็ดน้ำมัน
5. พอทอดไก่เสร็จ นำหอมแดงซอยบางๆลงคลุกในแป้งที่เหลือลงทอดไฟอ่อนๆจนเหลืองตักออก จะได้หอมเจียวไว้ทานกับไก่ทอดแล้วค่ะ

ครีมชีสทาร์ตมะพร้าวอ่อนหน้าเมอแรงค์

ครีมชีสทาร์ตมะพร้าวอ่อนหน้าเมอแรงค์

ส่วนผสมตัวครีมชีสทาร์ต

1. แป้งสาลี 3 1/4 ถ้วยตวง
2. น้ำตาลทรายป่น 1/4 ถ้วยตวง
3. เนยเค็มอุณหภูมิห้อง 225 กรัม
4. ครีมชีส 225 กรัม
5. เกลือ 1/2 ช้อนชา

วิธีทำตัวครีมชีสทาร์ต

1. ตีเนยกับครีมชีสให้เข้ากัน
2. ร่อนแป้งรวมกับน้ำตาลและเกลือลงในอ่างผสม ใช้ไม้พายคนให้เข้ากัน แบ่งเป็น 2 ส่วน แรปพลาสติกแล้วแช่เย็นอย่างน้อย 6 ชั่วโมง นำมากรุลงพิมพ์ แล้วอบด้วยไฟ 170 องศา 10-12 นาที ตรงนี้ขึ้นอยู่เตาอบของแต่ละคน ดังนั้นให้สังเกตสีของทาร์ตด้วยนะคะ)

ส่วนผสมไส้มะพร้าวอ่อน

1. น้ำมะพร้าว 50 กรัม
2. กะทิ 120 กรัม
3. แป้งถั่วเขียว 30 กรัม
4. น้ำตาลทราย 80 กรัม
5. เกลือ 1/4 ช้อนชา
6. นมข้นจืด 150 กรัม
7. เนยเค็ม 25 กรัม
8. เนื้อมะพร้าวอ่อนสับ 2 ลูก

วิธีทำตัวไส้มะพร้าวอ่อน

1. นำน้ำมะพร้าวเทใส่หม้อขนาดย่อม ตามด้วยน้ำกะทิ นมข้นจืด น้ำตาลทราย เกลือ และแป้งถั่วเขียว คนให้น้ำตาลละลาย แล้วนำขึ้นตั้งไฟอ่อนกวนให้แป้งข้นขึ้น
2. ใส่เนื้อมะพร้าวอ่อนสับและเนยลงคนให้ละลายเข้ากันอีกที พักไว้จนเย็น เมื่อ เย็นแล้วส่วนผสมจะข้นขึ้นอีก

ส่วนผสมตัวหน้าเมอแรงค์

1. ไข่ขาว 2 ฟอง
2. น้ำตาลทราย 50 กรัม

วิธีทำตัวหน้าเมอแรงค์

ตีไข่ขาวกับน้ำตาลให้ตั้งยอดอ่อนไม่ถึงกับแข็ง

วิธีครีมชีสทาร์ตมะพร้าวอ่อนหน้าเมอแรงค์

เมื่อเตรียมสุดส่วนครบแล้ว ให้ตักไส้มะพร้าวอ่อนใส่ในตัวทาร์ต แล้วบีบเมอแรงค์ไข่ขาวที่เราตีไว้ลงไปตามใจชอบ นำเข้าอบด้วยไฟ 170-180 องศา ประมาณ 10-12 นาที ดูสีให้ได้ตามที่ชอบ แช่เย็นก็ทานได้เลยค่ะ

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2559

ขนมไข่

ขนมไข่ : สูตรนี้เป็นเนื้อเบาๆ เด้งๆ นุ่มๆ สำหรับคนที่ไม่ชอบขนมไข่แบบเนื้อแน่นค่ะ

ส่วนผสมขนมไข่

1. แป้งพัดโบก 90 กรัม
2. ผงฟู 1/2 ช้อนชา
3. ไข่ไก่ (เบอร์ 1) 3 ฟอง
4. น้ำตาลทราย 100 กรัม
5. กลิ่นวนิลา 1 ช้อนชา
6. โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำขนมไข่

1. ร่อนแป้ง+ผงฟู 2 รอบ พักไว้
2. ตีไข่+น้ำตาลทราย+โยเกิร์ตด้วยความเร็วสูงสุด 5 นาที
3. เติมแป้งตีด้วยความเร็วต่ำสุด แล้วเติมกลิ่นวนิลาลงไปตีด้วยความเร็วสูงสุดประมาณ 10 วินาที ยกออกมาคนปาดให้เข้ากันดีอย่างไวมือ แล้วพักแป้งไว้ 15 นาที
4. ตั้งเตาให้ร้อนจัด ทาน้ำมัน แล้วเบาไฟให้สุดหยอดขนมลงพิมพ์ ปิดฝา รอให้สุก ถ้าใช้พิมพ์เล็กระยะเวลาไม่ถึง2นาทีก็สุกแล้วค่ะ ใช้ไม้แหลมจิ้มขึ้นมาพักบนตระแกรง เรียบร้อยพร้อมทานแล้วค่ะ (ถ้าไม่มีเตาอบจะใช้เครื่องทำโดนัทจิ๋ว หรือใช้กะทะขนมไข่ตั้งแก็สแทนก็ได้นะคะ)

ขนมชั้น (แบบนุ่ม)

ขนมชั้น (แบบนุ่ม) สูตรคุณชำนาญ

ส่วนผสมขนมชั้น

1. แป้งมัน 160 กรัม (1+3/4 ถ้วยตวง)
2. แป้งข้าวจ้าว 20 กรัม (3 ชต)
3. แป้งท้าว 10 กรัม (1 ชต)
4. น้ำตาลทราย 400 กรัม (2 ถ้วยตวง)
5. กะทิข้น 750 กรัม (3 ถ้วยตวง)
6. น้ำสีต่างๆที่จะใช้ผสมในแป้ง 50 กรัม (50 มิลลิลิตร) เช่น น้ำใบเตยคั้น น้ำดอกอัญชัน เป็นต้น
7. เกลือนิดหน่อย

หมายเหตุ : ของเหลวในสูตรพวก (กะทิ + น้ำสีต่างๆ) รวมกันต้องไม่เกิน 800 กรัม

วิธีทำขนมชั้น

1. แบ่งกะทิออกมา 200 กรัม ใส่น้ำตาลทราย แล้วนำไปตั้งไฟกลางให้น้ำตาลละลายจนหมด พอเดือดปิดไฟยกลง พักไว้
2. นำแป้งมัน + แป้งข้าวจ้าว + แป้งท้าวใส่ชามผสม ค่อยๆใส่น้ำกะทิส่วนที่เหลือลงไป แต่ยังไม่ต้องใส่หมดค่ะ ใส่ให้พอนวดแป้งได้ และนวดแป้งไปสัก 10-15 นาที
3. เมื่อนวดแป้งได้ที่ให้เอาน้ำเชื่อมกะทิที่ทำไว้ค่อยๆเทใส่ เพื่อคลายแป้ง ใส่จนหมด แล้วใส่กะทิที่เหลือลงไปคนให้แป้งเข้ากันดี
4. นำแป้งไปกรองเอาเศษแป้งที่ละลายไม่หมดออก
5. จากนั้นแบ่งแป้งเพื่อใส่สี
  • ถ้าจะทำ 2 สี ให้แบ่งแป้งเป็น 2 ส่วนเท่าๆกัน และให้ใส่น้ำสีต่างๆ มีน้ำหนักเท่ากันทั้งสองส่วน (**ตามสูตรน้ำสีให้ใส่ได้ทั้งหมด 50 กรัม ถ้าทำสองสีก็หารสอง ดังนั้นแต่ละสีใส่ได้สีละ 25 กรัมต่อแป้งแต่ละส่วน**)
  • ถ้าจะทำ 3 สี ก็ต้องแบ่งแป้งเป็น 3 ส่วนเท่าๆกัน และน้ำสีที่จะใส่ก็ต้องหารสามค่ะ ทำกี่สีแป้งและน้ำสีที่ใส่ต้องหารตามจำนวนสีนะคะ เพราะถ้าใส่เกินจากที่กำหนดแป้งจะเหลวค่ะ
  • ถ้าจะทำส่วนสีใสแบบใส่น้ำกะทิ อย่าหักออกจากกะทิต้นสูตร (750 กรัม) ให้เอากะทิส่วนใหม่มาใส่ค่ะ โดยที่คำนวนน้ำหนักตามสีที่จะใส่
6. เมื่อคิดได้แล้วว่าจะทำกี่สี ก็จัดการผสมแป้งกับสีให้เข้ากัน
7. ใส่น้ำในลังถึง นำไปตั้งไฟให้เดือด และนำพิมพ์ขนมไปนึ่งให้ร้อนก่อนที่จะเทแป้ง เพื่อกันไม่ให้แป้งติดพิมพ์ค่ะ จะได้แกะออกจากพิมพ์ได้ง่าย
8. เมื่อพิมพ์ร้อนแล้วให้เทแป้งลงในพิมพ์หนาบางตามชอบ แล้วนึ่งประมาณ 3 นาที (เวลาจะเทแป้งทุกครั้ง ให้คนแป้งให้ละลายดีก่อนเท)
9. พอชั้นแรกสุก ให้เทแป้งชั้นที่สองลงไป แล้วนึ่งต่อไปอีก 3 นาที แต่ละชั้นที่เทให้นึ่งประมาณ 3 นาทีทุกชั้น ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนเต็มพิมพ์
10. เมื่อนึ่งเสร็จแล้วให้เอาขนมออกมาพักให้เย็น แล้วค่อยเอาออกจากพิมพ์ค่ะ

หมายเหตุ

1. ถ้าจะทำหลายสี แนะนำว่าให้ใช้สีผสมอาหารแทนสีธรรมชาติ เพราะสีที่ได้จะสดและเห็นชั้นสีดีกว่า เพราะถ้าเป็นสีธรรมชาติ ยิ่งทำหลายสีจำนวนน้ำสีที่จะใส่ลงไปในแป้งจะลดน้อยลงไปตามสัดส่วน ทำให้สีธรรมชาติเจือจางมาก
2. สูตรนี้แป้งเหนียวนิ่มอร่อย แช่เย็นไว้ออกมาก็ยังนิ่ม
3. ระยะเวลานึ่งว่าควรจะนึ่งกี่นาทีนั้น ขึ้นอยู่กับความแรงของไฟ ขนาดพิมพ์ และความหนาในการเทแต่ละชั้น ถ้าพิมพ์ขนาดเล็ก ก็ใช้เวลาแค่ 1-2 นาทีก็สุก พิมพ์ขนาดกลางๆก็ประมาณ 3 นาที ถ้าพิมพ์ใหญ่ๆและเทหนาก็อาจจะต้องเพิ่มเวลา วิธีสังเกตลองใช้นิ้วแตะๆแป้ง ถ้าแป้งตึงตัวแล้วก็เทชั้นต่อไปได้ค่ะ
4. ทุกครั้งที่เปิดฝา ให้รีบเปิดเร็วๆกันน้ำหยด แล้วก็ให้เอาผ้าเช็ดหยดน้ำใต้ฝาทุกครั้งค่่ะ

วิธีคั้นน้ำใบเตย

วิธีที่ 1 : ปั่นกับน้ำเปล่าโดยใส่น้ำน้อยๆ หรือปั่นกับกะทิก็ได้
วิธีที่ 2 : ถ้าทำน้อยจะหั่นใบเตยฝอยๆ แล้วตำให้ละเอียด ใส่ผ้าขาวบาง แล้วนำไปบี้ลงในน้ำแป้งทีผสมและแยกไว้ เพื่อใส่ใบเตย
วิธีที่ 3 : ถ้าทำมากแบบเป็นถาด จะนำใบเตยที่หั่นฝอย ลงไปปั่นกับน้ำแป้งที่แยกไว้ใส่ใบเตยเลย แล้วกรองอีกรอบ

ขนมตาล

ขนมตาล

ส่วนผสมขนมตาล

1. แป้งบัวแดง 500 กรัม
2. ตาล 300 กรัม
3. กะทิ 500 กรัม
4. ยีสต์ 3 ช้อนชา
5. ผงฟู 3 ช้อนชา
6. น้ำตาลทราย 350 กรัม

วิธีทำขนมตาล

1. ร่อนแป้งบัวแดงลงในชามผสม ใส่ยีสต์และผงฟูลงผสมให้เข้ากันเตรียมไว้
2. แล้วนำน้ำตาล + กะทิ + ตาลมาคนผสมให้ละลาย นำไปเทผสมกับแป้งที่ร่อนไว้
3. นำไปปั่นความเร็วปานกลาง แล้วพักแป้งประมาณ 1 ชั่วโมง รอให้แป้งขึ้นฟูเป็น 2 เท่า
4. ก่อนจะตักลงถ้วยพิมพ์ให้คนไล่ฟองอากาศให้แป้งยุบตัวซะก่อน จึงตักใส่ถ้วยพิมพ์ นำหม้อนึ่งใส่น้ำตั้งไฟให้เดือดด้วยไฟแรง พอน้ำเดือดแล้วให้ยกขนมขึ้นนึ่ง 15 นาทีด้วยไฟแรงตลอดการนึ่ง โดยไม่ต้องลดไฟค่ะ เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จกับขนมตาลอร่อยๆแล้วค่ะ

สังขยาฟักทอง

สังขยาฟักทอง เนื้อเนียนกริบ

ส่วนผสมสังขยาฟักทอง

1. ฟักทองขนาดย่อมๆประมาณ 4-5 ขีด 1 ลูก
2. ไข่ไก่ 3 ฟอง
3. ไข่เป็ด 3 ฟอง
4. น้ำตาลปี๊บ 200 กรัม
5. กะทิ 1 กล่อง (250 ซีซี)
6. เกลือนิดหน่อย
7. ใบเตย 5 ใบ



วิธีทำสังขยาฟักทอง

1. ใช้มีดปลายแหลมเจาะบริเวณขั้วฟักทองทั้งสี่ด้านให้ลึกถึงเนื้อใน แล้วดึงออก ควักเมล็ดออกให้หมด
ใช้ช้อนขูดไส้ออกให้หมด นำไปล้างให้สะอาด ใช้แปรงถูที่บริเวณเปลือกเบาๆ เพราะอาจมีเศษดินทรายติดอยู่ แล้วนำไปผึ่งให้แห้ง
2. นำกะทิใส่หม้อ ตามด้วยน้ำตาลปี๊บและใบเตยลงไป ใช้มือขยำจนน้ำตาลละลายกับกะทิหมด แล้วตอกไข่ใส่ลงไปขยำต่อแรงๆ เพื่อให้เกิดฟองอากาศเยอะๆ แล้วนำไปกรองประมาณ 1-2 ครั้ง


3. ค่อยๆเทส่วนผสมสังขยาลงในลูกฟักทอง อย่าให้มีฟองอากาศเข้าไป คอยช้อนฟองออก
4. ตั้งน้ำให้เดือดแรง ใส่ลูกฟักทองลงไปนึ่ง ลดไฟเหลือประมาณไฟกลาง นึ่งประมาณ 20-30 นาที แล้วแต่ขนาดลูกฟักทอง (เทคนิคให้เนื้อสังขยาเนียนกริบ ให้แง้มฝาหม้อขณะนึ่งไว้นิดหน่อยค่ะ) คอยเปิดดูทุก 10 นาที เปิดฝาทิ้งไว้ 1 นาที เพื่อคลายร้อน ลองใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มลงไปในเนื้อสังขยา ถ้าไม่มีของเหลวติดปลายมาแสดงว่าใช้ได้แล้ว ปิดไฟ อย่าเพิ่งยกลงจากเตานะคะ ทิ้งไว้ให้เย็น รอสังขยาเซ็ตตัวก่อน แล้วค่อยตัดแบ่งเป็นชิ้นรับประทานค่ะ

ปาท่องโก๋

ปาท่องโก๋

ส่วนผสมปาท่องโก๋

1. แป้งตราว่าว หรือ ตราดาว หรือ ตราผักกาดแดง 1 กิโลกรัม (เลือกใช้ยี่ห้อไหนก็ได้ค่ะ)
2. น้ำสะอาด 2 + 1/2 ถ้วยตวง
3. น้ำตาล 4 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำมันพืช 4 ช้อนโต๊ะ
5. เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ
6. ยีสต์ 1 ช้อนชา
7. แอมโมเนีย 1 ช้อนชา
8. เบคกิ้งโซดา 1 ช้อนชา

วิธีทำปาท่องโก๋

1. นำน้ำสะอาด + น้ำตาล + น้ำมันพืช + แอมโมเนีย + เบคกิ้งโซดา + ยีสต์ + เกลือมาคนผสมกันให้ละลายเข้ากัน
2. แล้วนำไปนวดกับแป้งให้ส่วนผสมเข้ากันดี พักแป้งไว้ 3 ชั่วโมง แล้วค่อยตัดทำตัวปาท่องโก๋ลงทอดในน้ำมันให้เหลือง กรอบ

น้ำเต้าหู้

น้ำเต้าหู้

ส่วนผสมน้ำเต้าหู้

1. ถั่วเหลืองไร่ทิพย์แบบเต็มเม็ด 1 กิโลกรัม
2. น้ำสะอาด 6 ลิตร
3. น้ำตาลปริมาณตามชอบ
4. ใบเตย 10 ใบ

วิธีทำน้ำเต้าหู้

1. นำถั่วเหลืองมาล้างน้ำเอาสิ่งสกปรกออก แล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 4 ชั่วโมง เสร็จแล้วล้างให้สะอาดอีกครั้ง แล้วพักให้สะเด็ดน้ำ
2. ล้างใบเตยให้สะอาด มัดขดให้เป็นช่อ 2 ช่อ ที่เหลือให้หั่นผสมในถั่วเหลือง
3. ปั่นถัวเหลืองกับน้ำสะอาด 6 ลิตร แล้วกรองกับผ้าขาวบางบีบเอาแต่น้ำ
4. เสร็จแล้วนำขึ้นตั้งไฟกลาง ใส่ใบเตยลงไปต้ม 1 ช่อ เคี่ยวไปเรื่อยๆ หมั่นคนไม่งั้นก้นจะไหม้ค่ะ เคี่ยวให้เดือดอีกประมาณ 2 ครั้ง ใส่น้ำตาลตามชอบ ปิดไฟ ตักเอาใบเตยออก แล้วใส่ใบเตยช่อใหม่ลงไป ปิดฝาเป็นอันเสร็จเรียบร้อยค่ะ สูตรนี้ทำเก็บไว้ในตู้เย็นได้ 4 วันค่ะ (แบบยังไม่ใส่เครื่องนะคะ)

ขนมถ้วยฟูฟักทอง (แบบนึ่ง)

ขนมถ้วยฟูฟักทอง (แบบนึ่ง) สูตรคุณหวาย


ส่วนผสมขนมถ้วยฟูฟักทอง

1. แป้งบัวแดง 340 กรัม
2. น้ำตาล 300 กรัม
3. กะทิ 250 กรัม
4. ไข่ไก่ 1 ฟอง (ไข่เบอร์ 1)
5. ฟักทอง 400 กรัม (ชั่งทั้งเปลือก)
6. ผงฟู 1+1/2 ช้อน
7. เกลือ 1/2 ช้อนชา
8. แป้งหมักเชื้อ

สามารถปรับเปลี่ยนวัตถุดิบจากฟักทอง เป็นมันเทศ กล้วย แครอท ข้าวโพด แตงไทย ทุเรียน ขนุน และอื่นๆได้นะคะ

ส่วนผสมและวิธีทำแป้งหมักเชื้อ

1.แป้งเค้ก (แป้งพัดโบก) 20 กรัม
2.ยีสต์ 1 ช้อนชา
3.กะทิ 50 กรัม

นำแป้งและยีสต์มาคนผสมให้เข้ากัน แล้วเทกะทิลงไปคนให้เข้ากัน หมักแป้งไว้ 30 นาที



วิธีทำขนมถ้วยฟูฟักทอง

1. นำฟักทองเนื้อแน่นๆสีสวยๆมานึ่งให้พอสุก 70-80% อย่าให้สุกจนเละ เพราะเวลาผสมแป้งฟักทองจะคายน้ำทำให้แฉะ เมื่อนึ่งเสร็จให้นำฟักทองมายีตอนร้อนๆเตรียมไว้เลยค่ะ
2. จากนั้นนำไข่มาตีให้ฟู ตามด้วยน้ำตาลตีจนน้ำตาลละลาย นำฟักทองที่ยีเนื้อแล้วผสมตามลงไป
3. แล้วค่อยๆเทกะทิลงไปครึ่งนึง ตามด้วยแป้งบัวแดง โดยแบ่งแป้งเทประมาณ 2-3 ครั้ง คนๆให้เข้ากัน เติมกะทิลงไป คนจนส่วนผสมเข้ากันดีแล้ว จึงใส่แป้งหมักเชื้อลงไปผสมคนให้เข้ากัน แล้วพักแป้งไว้ 1 ชั่วโมง
4. เมื่อครบ 1 ชั่วโมงแป้งจะขึ้นฟูเป็น 2 เท่า ก่อนจะตักลงถ้วยพิมพ์ให้คนไล่ฟองอากาศให้แป้งยุบตัวซะก่อน จึงตักใส่ถ้วยพิมพ์ นำหม้อนึ่งใส่น้ำตั้งไฟให้เดือดด้วยไฟแรง พอน้ำเดือดแล้วให้ยกขนมขึ้นนึ่ง 15 นาทีด้วยไฟแรงตลอดการนึ่ง โดยไม่ต้องลดไฟค่ะ เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จกับขนมถ้วยฟูฟักทองแสนอร่อยแล้วล่ะค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559

ก๋วยเตี๋ยวคั่วทะเล

ก๋วยเตี๋ยวคั่วทะเล

ส่วนผสมก๋วยเตี๋ยวคั่วทะเล

1. ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่
2. ปลาหมึกสด
3. กุ้งสด
4. ไข่ไก่
5. กระเทียมสับ
6. ตั้งฉ่าย
7. ซีอิ้วขาว
8. น้ำตาลทราย
9. พริกไทยป่น
10. ต้นหอมผักชีซอย
11. ผักกาดหอม สำหรับรองจาน

วิธีทำก๋วยเตี๋ยวคั่วทะเล

1. ตั้งกระทะใช้ไฟแรงให้กระทะให้ร้อนจัด แล้วค่อยใส่น้ำมันเล็กน้อย ใส่ปลาหมึกกับกุ้งสดลงคั่วแค่พอสุก ตามด้วยกระเทียมสับลงคั่วให้หมึกและกุ้งสดสุกเกรียมนิดๆ
2. ใส่ตั้งฉ่าย เส้นใหญ่ตามลงไป ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว น้ำตาล คั่วต่อให้ทั่วเส้นหอมเกรียม เขี่ยเส้นไว้ข้างกระทะ เติมน้ำมันอีกเล็กน้อยตอกไข่ไก่ใส่ลงไป ตีให้ไข่แตก แต่ไม่ต้องคนค่ะ รอให้ไข่สุกขึ้นเล็กน้อย จึงตลบเส้นกลบบนไข่คั่วให้สุกหอมเกรียม ก็ปิดเตาไฟ
3. ตักก๋วยเตี๋ยวคั่วทะเลร้อนๆวางบนผักกาดหอม โรยด้วยพริกไทยป่นและต้นหอมผักชี ทานคู่กับซอสพริกแค่นี้ก็พร้อมอร่อยแล้วค่ะ

ข้าวผัดหมู

ข้าวผัดหมู

ส่วนผสมข้าวผัดหมู

1. ข้าวสวยเย็น
2. หมูสันคอ
3. มะเขือเทศ
4. ผักคะน้า
5. ซีอิ้วดำหวาน
6. ซีอิ้วขาว
7. ซอสปรุงรสฝาเขียว
8. น้ำตาลทราย
9. น้ำปลา
10. พริกไทยป่น
11. กระเทียมไทยทุบ 5 กลีบ

วิธีทำข้าวผัดหมู

1. หั่นหมูขนาดพอดีคำ แล้วหมักด้วยน้ำปลา ซอสปรุงรสฝาเขียว ซีอิ้วขาว พริกไทยป่น น้ำตาลทรายพอตัดรสชาติ หั่นผักคะน้าและมะเขือเทศ เตรียมไว้
2. นำข้าวสวยใส่ซีอิ้วดำหวานแต่งสี และน้ำตาลทรายนิดหน่อย คลุกให้เข้ากัน
3. ตั้งกระทะเปิดไฟกลาง ใส่น้ำมัน พอน้ำมันร้อนใส่กระเทียมทุบลงไปผัดให้หอม ใส่หมูหมักลงผัดจนหมูตึงตัว ใส่ผักตามลงไปผัดจนทุกอย่างสุก หรี่ไฟลงให้เหลือไฟอ่อน นำข้าวลงผัดให้เข้ากัน ปรุงรสเพิ่มนิดหน่อยด้วยซีอิ้วขาว ผัดให้เข้ากันอีกครั้ง ปิดไฟ ตักใส่จานเสิร์ฟทานพร้อมพริกน้ำปลา แตงกวาได้เลยค่ะ

ยำส้มโอกุ้งสด

ยำส้มโอกุ้งสด

ส่วนผสมยำส้มโอกุ้งสด

1. เนื้อส้มโอแกะเป็นกลีบ (ส้มโอที่นิยมใช้คือ ขาวใหญ่ กับทองดี)
2. กุ้งชีแฮ้ 100 กรัม
3. เนื้ออกไก่ต้มฉีกเป็นเส้น
4. น้ำพริกเผา 2 ช้อนโต๊ะ
5. น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำปลาดี 2 ช้อนโต๊ะ
7. น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
8. น้ำมะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ
9. หัวกะทิ 1/4 ถ้วย
10. น้ำเปล่า 1 ช้อนโต๊ะ
11. พริกขี้หนูแห้งคั่ว 5 เม็ด
12. มะพร้าวขูดคั่วป่น 2 ช้อนโต๊ะ
13. กุ้งแห้งคั่วป่น 2 ช้อนโต๊ะ
14. ถั่วลิสงคั่วบุบหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ
15. หอมแดงเจียว 2 ช้อนโต๊ะ
16. กระเทียมเจียว 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำยำส้มโอกุ้งสด

1. ฉีกเนื้อส้มโอเป็นเส้นๆ ฉีกเบาๆ อย่าให้ช้ำ พักไว้
2. ต้มเนื้ออกไก่ให้สุกแล้วฉีกเป็นเส้นๆ ส่วนกุ้งสดลวก พักไว้
3. นำหัวกะทิมาเคี่ยวให้เดือด แต่ไม่ต้องให้แตกมัน พักไว้ให้เย็น
4. ผสมน้ำยำเตรียมไว้ โดยใส่น้ำตาลปี๊บ น้ำเปล่า น้ำปลา น้ำมะขามเปียก น้ำพริกเผาใส่หม้อ นำขึ้นตั้งไฟให้ละลายเข้ากัน
5. นำส้มโอใส่ในชามผสม ใส่ถั่วลิสงคั่วบด กุ้งแห้งคั่วป่น หอมเจียว กระเทียมเจียว มะพร้าวคั่วบด พริกขี้หนูแห้งคั่วบด และน้ำมะนาวลงไป จากนั้นค่อยๆเทน้ำยำตามลงไป อย่าเทลงไปทีเดียวหมดนะคะ คลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดี (อย่าคลุกแรงนักเดี๋ยวกลีบส้มโอจะช้ำหมดไม่น่าทาน) ชิมรสให้หวานนำ เปรี้ยวตาม อย่าให้เค็ม ตักใส่จานจัดเสิร์ฟทานได้เลยค่ะ
ขับเคลื่อนโดย Blogger.