วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ข้าวเหนียวตัดหน้ามันม่วง

ข้าวเหนียวตัดหน้ามันม่วง

ส่วนผสมข้าวเหนียวตัดหน้ามันม่วง

ส่วนข้าวเหนียว

1. ข้าวเหนียวเขี้ยวงู 400 กรัม
2. หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง
3. น้ำ 1/2 ถ้วยตวง
4. เกลือ 1/2 ช้อนชา
5. น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง

หน้ามันม่วง

1. หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง
2. มันม่วงต้มสุก 500 กรัม
3. น้ำตาลทราย 260 กรัม (ลดเพิ่มตามชอบ)
4. เกลือ 2 ช้อนชา
5. แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง (ถ้าชอบหน้าให้ข้นขึ้นให้ใส่ 1+1/2 ถ้วยตวง)
6. สีม่วงนิดหน่อย

วิธีทำข้าวเหนียวตัดหน้ามันม่วง

1. นำข้าวเหนียวเขี้ยวงูมาแช่น้ำประมาณ 4-5 ชั่วโมง เอาขึ้นกรองให้สะเด็ดน้ำ

ทริคพิเศษ
* กรณีขี้เกียจแช่ข้าวเหนียวนานให้ใช้วิธีนี้ค่ะ ล้างข้าวเหนียวให้สะอาดสงให้สะเด็ดน้ำ
* ต้มน้ำให้เดือดๆ ปิดไฟ นำข้าวเหนียวที่ล้างแล้วเทลงในน้ำเดือด คนๆๆสักหน่อย แล้วแช่ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที เดี๋ยวข้าวจะบานเกิน แล้วสงขึ้นให้สะเด็ดน้ำ ช่วยร่นระยะเวลาในการแช่ข้าวไปเยอะเลย

2. นำรังถึงใส่น้ำครึ่งหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟให้เดือด ใส่ถาดหรือพิมพ์ลงนึ่งก่อน 5 นาที
3. ผสมหัวกะทิ + น้ำ + น้ำตาลทราย + เกลือรวมกัน คนให้น้ำตาลละลาย ลองชิมดู
4. นำข้าวเหนียวเทใส่ถาดพิมพ์ แล้วเทส่วนกะทิที่ผสมแล้วลงไป เกลี่ยให้เสมอกัน นึ่งประมาณ 17-20 นาที

**วิธีกวนหน้ามันม่วง**

5. เทหัวกะทิ + น้ำตาล + เกลือ + แป้งข้าวจ้าวลงผสมเข้าด้วยกันคนให้ละลาย
6. ยกขึ้นตั้งไฟคนพอเดือดเบาๆ ใส่มันม่วงต้มสุกลงคนให้ส่วนผสมเข้ากัน ชิมรสตามชอบ ใส่สีม่วงนิดหน่อย เพื่อสีที่สวยขึ้น
7. เทราดบนข้าวเหนียวที่นึ่งสุกพอดี นึ่งต่ออีกประมาณ 10-15 นาที ก็เป็นอันเสร็จ

หมายเหตุ
 
* เวลาใส่ข้าวเหนียวลงพิมพ์ ไม่ต้องกระแทกพิมพ์ เพราะจะทำให้ข้าวเหนียวแน่นเกินไป
* ถ้าเป็นข้าวเหนียวใหม่ ให้ลดเวลาในการแช่น้ำลงอีก
* ถ้าชอบหน้าขนมเนื้อเนียน ให้เอาส่วนผสมไปปั่นให้ละเอียดค่ะ
* ใช้ถาดขนาด11*11 นิ้ว
* หน้าขนมจะออกหวานถ้าใครไม่ชอบหวานแนะนำให้ลดน้ำตาลลงค่ะ
* สามารถปรับเปลี่ยนเป็นหน้าเผือก หน้ามะม่วง หน้าใบเตย หน้าสังขยาชาไทยหรืออื่นๆก็ได้

ไอศครีมซอเบย์มะม่วงสดราดกะทิ

ไอศครีมซอเบย์มะม่วงสดราดกะทิ เสิร์ฟทานกับข้าวเหนียมูนและมะม่วงสุก

ส่วนผสมไอศครีมซอเบย์มะม่วงสดราดกะทิ

1. มะม่วงสุก 1 ลูกใหญ่
2. มะนาว 1/2 ลูก
3. น้ำตาล 1/2 ถ้วย
4. น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย
5. ไข่ขาว (จากไข่ไก่) 1 ฟอง

วิธีทำไอศครีมซอเบย์มะม่วงสดราดกะทิ

1. ปอกเปลือกมะม่วง แล้วหั่นแต่เนื้อตัดเป็นชิ้นเล็ก ใส่ลงเครื่องปั่นจนละเอียด ต้องละเอียดจนเป็นน้ำซอสเลยนะคะ แล้วนำมากรองด้วยกระชอนตาถี่มากๆ เพื่อแยกเอาเสี้ยนเล็กๆจากเนื้อมะม่วงออก ไอศครีมจะได้เนื้อเนียนละเอียด เวลาทานจะได้ไม่สะดุดลิ้น
2. เทน้ำเปล่าใส่หม้อ ยกขึ้นตั้งไฟแล้ว ใส่น้ำตาลตามลงไปคนจนละลาย แล้วยกออก รอจนเย็นตัว
3. นำซอสมะม่วงลงกลับเข้าเครื่องปั่น ค่อยๆเทผสมน้ำเชื่อมที่เย็นแล้วลงไป ค่อยๆปั่นด้วยสปีดต่ำจนเข้ากันดี
4. ใส่ไข่ขาวลงไป เร่งสปีด เพื่อทำให้ไข่จาวกระจายตัวได้ดี ปั่นจนเห็นความฟูนุ่ม หยุดเครื่องปั้น แล้ว บีบน้ำมะนาวลงไปนิดๆ เพิ่มความหอมและช่วยดึงรสมะม่วงให้ชัดเจนขึ้น ใช้ช้อนคนให้เข้ากัน
5. ถ้าบ้านไหนมีเครื่องทำไอศครีมจะง่ายมาก แค่เปิดเครื่องปั่นจนซอร์เบย์เหลวเกือบจะแข็งตัว แล้วถ่ายใส่ภาชนะที่ทนความเย็นจัดได้ดี เอาแช่ช่องฟรีซประมาณ 4 ชั่วโมง ก็จะได้ซอร์เบย์พร้อมตักเป็นสกู๊ปได้แล้วค่ะ
6. ถ้าไม่มีเครื่อง ให้นำส่วนผสมทั้งหมดเทใส่ภาชนะที่ทนความเย็นได้ดีและสื่อความเย็นได้ดี (แนะนำ ถาดหรือกระป๋องแสตนเลส) แล้วเข้าช่องฟรีซไว้ 10-15นาที แล้วนำออกมาตีด้วยตะกร้อมือ เพื่อให้ส่วนผสมไม่แยกตัว ทำอย่างนี้ทุก 15 นาที จนเนื้อซอร์เบย์เริ่มจับตัว ไม่แยกส่วนผสมออกจากกัน ค่อยปล่อยแช่ทิ้งไว้ 6 ชั่วโมงขึ้นไป ก็จะได้ซอร์เบย์รสมะม่วงเนื้อเนียนไว้ทานแล้วค่ะ

หมายเหตุ

- น้ำตาล ลด/เพิ่ม ได้ตามชอบ มะม่วงที่เมืองไทยมีหลายชนิด หวานมากน้อยต่างกัน หรือรักสุขภาพไม่ต้องเติมน้ำเชื่อมก็ได้
- ใช้น้ำผึงแทนน้ำตาลก็ได้ จะได้ซอร์เบย์ที่มีกลิ่นน้ำผึ้งหอมไปอีกแบบ
- ไข่ขาว ไม่ใส่ก็ได้ แต่ที่ใส่เพื้อช่วยเนื้อสัมผัสให้มีความนุ่มมากขึ้น
- ก่อนบีบมะนาว ให้ล้างมะนาวให้สะอาด เพราะอยากให้บีบแบบที่น้ำมันจากผิวออกมาด้วย จะดึงรสชาติ และเพิ่มความหอมดีมากเลยค่ะ อย่าให้เม็ดตกลงไปนะคะ
- วิธีการทำซอร์เบย์นี้ นำไปปรับใช้ได้กับผลไม้ทุกชนิด ถ้าเป็นตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ จะกรองเนื้อออกก็ได้ หรือไม่กรองก็ได้ มีเสน่ห์ต่างกัน ได้เนื้อสัมผัสต่างกัน
- ที่เน้นว่าให้ใช้ภาชนะที่ทนความเย็นได้ดี เพราะอลูมิเนียม หรือพลาสติคบางประเภทไม่ได้ทำมาเพื่อทนต่อความเย็น/ความร้อน เมื่อเราเอามาใช้ผิดจุดประสงค์ของผู้ผลิต พลาสติกพวกนี้จะคายสารเคมีบางชนิดออกมาปนเปื้อนกับอาหาร โดยที่เราไม่รู้ตัว แล้วก็จะสะสมในร่างกายเรานะคะ

บิงซูมะม่วง

บิงซูมะม่วง

ส่วนผสมบิงซูมะม่วง

1. นมสดจืด 450 มิลลิลิตร (หรือ 1 ขวด)
2. นมข้นหวาน 1/4 ถ้วย
3. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 1-2 ลูก
4. นมข้นสำหรับราด

วิธีทำบิงซูมะม่วง

1. ผสมนมสดจืดกับนมข้นหวานให้เข้ากัน แล้วเทใส่ถุงซิป นำแช่ฟรีซ 3 ชั่วโมง หรือจนกว่านมสดแข็งตัว
2. ใกล้ถึงเวลาเอานมออกจากฟรีซ ก็มาหั่นมะม่วงให้เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดพอดีคำรอไว้ได้เลยค่ะ
3. นำนมออกจากฟรีซ ก็ใช้ส้อมคนๆ แต่ถ้าแข็งเกินไปก็ใช้ของแข็งทุบเอาค่ะ แล้วก็นำมาใส่ลงในถ้วย ตกแต่งด้วยมะม่วงที่เราหั่นไว้ โปะด้วยไอศกรีมวานิลา และราดด้วยนมข้นหวาน ก็เป็นอันเสร็จ พร้อมทานค่ะ

เครปโรลใบเตยข้าวเหนียวมะม่วง

เครปโรลใบเตยข้าวเหนียวมะม่วง

ส่วนผสมเครปโรลใบเตยข้าวเหนียวมะม่วง

ข้าวเหนียวมูน

1. ข้าวเหนียว 500 กรัม
2. กะทิ 2 ถ้วย
3. น้ำตาล 1 ถ้วย
4. เกลือ 1/2 ช้อนโต๊ะ (ชอบเค็มเพิ่มได้)
5. ใบเตยหอม 7-8 ใบ
6. สารส้ม (สำหรับล้างข้าว สารส้มจะช่วยให้ข้าวมีเม็ดขาวใสเวลาไปมูลข้าวใสเรียงตัวสวย)

แป้งเครปใบเตย

1. แป้งเค้ก 120 กรัม
2. กะทิ 50 กรัม
3. ไข่ 3 ฟอง
4. นมสดจืด 260 กรัม
5. ใบเตยหอมสัก 10 ใบ
6. เกลือ 1/2 ช้อนชา
7. น้ำตาล 60 กรัม
8. เนยละลาย 65 กรัม

***น้ำนมสดกะทิไปปั่นพร้อมใบเตย แล้วกรองเอาแต่น้ำ กลิ่นจะหอมมาก แล้วค่อยไปผสมกับแป้ง ***

วิธีทำเครปโรลใบเตยข้าวเหนียวมะม่วง

1. นำสารส้มไปขัดข้าวเหนียวเบาๆ ขัดแบบแห้งก่อน และต่อด้วยขัดแบบน้ำ จนยางข้าวออกน้ำจะขุ่น ทิ้งไว้สักครู่ แล้วนำไปซาวน้ำจนใส แช่ทิ้งไว้อย่างน้อย 3 ชั่วโมง (รอบนี้เราแช่ 1 คืนค่ะ)
2. มาทำแป้งเครปใบเตยกันต่อค่ะ (เพราะต้องพักแป้งเหมือนกัน รอบนี้พักในตู้เย็น 1 คืน ใครไม่มีเวลาพักอย่างน้อย 30 นาทีนะคะ)
  • ร่อนแป้งเค้ก 1 รอบ ใส่เกลือลงไป แล้วพักไว้
  • นำนมสดกับกะทิผสมกัน แล้วเอาไปปั่นรวมกับใบเตยแล้วกรอง 2 รอบ  เพื่อจะได้รสและกลิ่นจากใบเตยค่ะ (ส่วนผสมที่ 1)
  • ตีไข่กับน้ำตาลให้เข้ากันดีจนน้ำตาลละลาย (ส่วนผสมที่ 2)
  • แล้วเทส่วนผสมของเหลว (ส่วนผสมที่ 1) ลงไปใน (ส่วนผสมที่ 2) ทีละนิด สลับกับใส่แป้งเค้กลงไปทีละนิด ผสมให้เข้ากัน สลับไปมาจนแป้งและของเหลว (ส่วนผสมที่ 1) หมด ผสมให้เข้ากันดีจนแป้งไม่เป็นเม็ด
  • เติมเนยละลายลงผสมให้เข้ากัน แล้วนำไปกรอง 2 รอบ ใส่ภาชนะ แรปแล้วเก็บในตู้เย็น
3. พอทุกอย่างได้ที่แล้วทั้งข้าวเหนียวและแป้งเครป ก็เริ่มทำกันเลย
  • นำข้าวเหนียวที่แช่น้ำไว้ไปล้างน้ำอีก 1 รอบ แล้วพักให้สะเด็ดน้ำ ระหว่างนั้นก็ตั้งหม้อไว้รอนึ่งข้าว
  • นำข้าวเหนียวไปนึ่งประมาณ 30 นาที เราจะไม่ให้ข้าวสุก 100% ให้สุกประมาณ 80-90% เวลามูลจะได้ไม่เละค่ะ และเมื่อนึ่งครบ 15 นาทีต้องกลับข้าว ข้าวจะได้สุกทั่วถึงกันค่ะ
  • ระหว่างรอข้าวสุก ก็มาทำน้ำกะทิรอ ผสมน้ำกะทิ 2 ถ้วย กับ น้ำตาล 1 ถ้วยคนจนน้ำตาลละลาย นำใบเตยลงไปขยำสักพัก กรอบด้วยกระชอน 1 รอบ
  • พอข้าวสุกก็เทข้าวร้อนๆลงไปมูนในส่วนผสมของกะทิได้เลย
  • ใช้ไม้พายกวนให้ส่วนผสมเข้ากัน แล้วปิดด้วยผ้าขาวบาง กวนซ้ำ 3-4 รอบ จนข้าวดูดน้ำกะทิหมด
4. ระหว่างมูนข้าวเราก็มาทอดเครปไปด้วย นำแป้งเครปที่ผสมไว้ออกจากตู้เย็น รอให้แป้งคลายเย็นก่อนค่ะ แล้วคนผสมให้เข้ากันอีกที
  • ตักแป้งประมาณครั้งละ 1/4 ถ้วย ลงทอดในกระทะ โดยกลิ้งแป้งให้เป็นแผ่นทั่วกระทะ กระทะต้องไม่ร้อนมากนะคะ ใช้ไฟอ่อน ถ้าแป้งเครปสุกตัวแป้งจะร่อนออกจากกระทะ ได้แป้งเครปใบเตยสีเขียวสวยทีเดียว
  • นำมะม่วงสุกมาปอกเปลือก แล้วหั่นมะม่วงเป็นแนวยาว
  • นำแป้งเครปมาวาง ตามด้วยข้าวเหนียมมูล และเนื้อมะม่วง แล้วม้วนโรลให้สวยงามด้วยเสื่อไม้ไผ่ม้วนซูชิ แล้วหั่นให้เป็นคำๆค่ะ
5. พร้อมเสิร์ฟราดด้วยซอสกะทิ ทานได้เลยค่ะ

ตะโก้มันม่วง

ตะโก้มันม่วง (สูตรคุณสาว)

ส่วนผสมตะโก้มันม่วง

ตัวตะโก้

1. แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วยตวง
2. แป้งมัน 1/4 ถ้วยตวง
3. แป้งถั่วเขียว 2 ช้อนโต๊ะ (ไม่มีไม่ต้องใส่ค่ะ)
4. น้ำตาล 1+1/2 ถ้วยตวง
5. น้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง
6. มันม่วงนึ่งหั่นเต๋า 2 ถ้วยตวง (จะเปลี่ยนไปใช้เป็นเผือก ฟักทอง แห้ว หรืออื่นๆก็ได้ค่ะ)

หน้าตะโก้

1. กะทิ 2 ถ้วยตวง
2. แป้งข้าวเจ้า 1/4 ถ้วยตวง
3. แป้งถั่วเขียว 1 ช้อนชา (ไม่มีไม่ต้องใส่ค่ะ)
4. เกลือ 2 ช้อนชา

วิธีทำตะโก้มันม่วง

ตัวตะโก้มันม่วง

1. นำแป้งข้าวเจ้า + แป้งมัน + แป้งถั่วเขียวทั้งสามชนิดใส่ลงในอ่างผสม ใส่น้ำเปล่า 2 ถ้วยตวงลงไป คนให้ละลายดี จากนั้นนำไปกรอง
2. แบ่งมันม่วง 1 ถ้วยตวงไปปั่นกับน้ำเปล่า 1 ถ้วย
3. นำมันม่วงปั่นไปเทใส่ในแป้งที่ละลายไว้ คนให้เข้ากัน
4. จากนั้นใส่น้ำตาลทรายลงไป คนให้เข้ากัน และนำไปตั้งไฟกลางค่อนไปทางอ่อน กวนจนส่วนผสมสุกใส
5. ใส่มันม่วงหั่นเต๋าที่เหลือลงไปคนผสมให้เข้ากัน ปิดไฟยกลง
6. เทใส่พิมพ์ทันที แล้วพักไว้ก่อน (จะทำใส่พิมพ์ ใส่กระทง หรือใส่ถาดก็ได้ตามสะดวกค่ะ)

หน้าตะโก้

1. นำแป้งข้าวเจ้า + แป้งถั่วเขียวทั้งสองชนิด เกลือ เทใส่หม้อ
2. ใส่น้ำกะทิลงไปคนให้แป้งละลายดี
3. นำไปตั้งไฟกลางค่อนไปทางอ่อน กวนจนส่วนผสมเริ่มข้นเป็นครีม ก็ให้ปิดไฟยกลง
4. รีบตักหยอดลงบนตัวขนมที่เตรียมไว้ให้ไวค่ะ ถ้าช้าหน้าขนมจะเริ่มเซตตัวเป็นก้อน เสร็จแล้วจัดเสริฟได้เลยค่ะ

หมายเหตุ

1. เวลากวนขนมให้คอยสังเกตุดู อย่ากวนนานไป เดี๋ยวจะหนืดแข็ง
2. กวนหน้าขนมให้ข้นเป็นครีมกำลังดี อย่ากวนจนแห้งเกิน เพราะพอยกออกจากเตา  หน้าขนมจะแข็งตัวเพิ่ม เมื่อกวนได้ที่แล้ว ให้รีบหยอดหน้าขนม  ถ้าช้าหน้าขนมจะเริ่มเซตตัวเป็นก้อน

เครปเย็นฝอยทอง (เครปโรลฝอยทอง)

เครปเย็นฝอยทอง (เครปโรลฝอยทอง)

ส่วนผสมเครปเย็นฝอยทอง

แป้งเครป

1. ไข่ไก่เบอร์ 2 จำนวน 4 ฟอง
2. นมสดรสจืด 400 มิลลิลิตร
3. น้ำสะอาด 250 กรัม
4. น้ำตาลทรายป่น 85 กรัม
5. น้ำมันข้าวโพด 55 กรัม (ใช้น้ำมันพืชชนิดอื่นได้ ยกเว้นน้ำมันปาล์ม)
6. กลิ่นวานิลลา 2 ช้อนชา
7. แป้งเค้ก 250 กรัม

ไส้เครปรสฝอยทอง
 

1. ฝอยทอง / Foi thong (ขอใช้ทัพศัพท์)
2. วิปปิ้งครีมแบบไขมันผสม 1000 กรัม
3. น้ำตาลทรายป่น 100 กรัม

*** ในส่วนของปริมาณ ฝอยทอง ครีม ไม่แน่นอน เพราะแต่ละท่านใช้ไม่เท่ากัน ใครใส่เยอะใส่น้อยก็ตามสะดวกนะคะ และเราใช้วิปครีมของ Millac gold รสชาติไม่หวาน เลยเติมน้ำตาล 10% ของน้ำหนักวิปครีมที่ใช้ เช่น ถ้าใช้ 500 กรัม ก็เติมน้ำตาล 50 กรัม หรือจะปรับเพิ่มรสก็ตามชอบค่ะ และถ้าใครใช้ครีมยี่ห้ออื่นๆแนะนำให้ชิมรสก่อนเติมน้ำตาลค่ะ ***


วิธีทำเครปเย็นฝอยทอง



1. เริ่มจากทำแป้งเครปกันก่อน ตอกไข่ใส่ชามผสมและตีไข่ให้เข้ากัน เพื่อไปผสมอย่างอื่นจะได้ง่ายขึ้น
แล้วนำส่วนผสมนมสด น้ำสะอาด น้ำตาล น้ำมันข้าวโพด กลิ่นวานิลลา และแป้งเค้กที่ร่อนแล้วทั้งหมดมาผสมให้เข้ากัน
2. ผสมทุกอย่างให้เข้ากัน โดยไม่ให้แป้งเป็นเม็ด แล้วนำไปกรองด้วยกระชอน 1 รอบ แรปพลาสติก พักใส่ตู้เย็นเพื่อพักแป้งอย่างน้อย 30 นาที
3. นำแป้งที่พักไว้ออกจากตู้เย็น แล้วคนให้เข้ากันอีกครั้ง
4. ตั้งกระทะก้นแบนด้วยไฟอ่อน ตักแป้งเครปลงไปทอด (ใครจะทาเนยที่กระทะก่อนก็ได้ค่ะ) แล้วกลิ้งให้แป้งเครปให้ทั่วกระทะ (ใช้กระทะ 28 เซนติเมตร ทอดครั้งละ 1/3 ถ้วย) รอให้แป้งสุก แป้งจะร่อนจากกระทะอย่างง่ายดาย และแป้งเครปที่ได้จะบางนุ่มค่ะ
5. ใส่วิปปิ้งครีมลงในชามผสม ใช้เครื่องตีให้ขึ้นฟู ระหว่างตีก็ค่อยๆใส่น้ำตาลทรายป่นลงไปตีด้วยค่ะ ตีจนได้เนื้อครีมฟูเนียนตามต้องการ
6. ใส่ครีมลงกลางแผ่นแป้งเครป วางโปะด้วยฝอยทอง แล้วพับเข้าหากันให้ได้ชิ้นสี่เหลี่ยม เสร็จเรียบร้อย นำเครปเย็นฝอยทองไปแช่เย็นหรือฟรีซก่อน เวลาตัดเป็นชิ้นจะไม่เละและทานตอนเย็นๆจะอร่อยกว่ามากค่ะ (แช่ฟรีซ รสชาติอร่อยขึ้นเหมือนทานไอศกรีมนุ่มๆเลยค่ะ)

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

น้ำพริกมะเขือเทศ (แจ่วมะเขือเทศ)

น้ำพริกมะเขือเทศ (แจ่วมะเขือเทศ)

ส่วนผสมแจ่วมะเขือเทศ

1. มะเขือเทศสุก 5 ลูก (ใช้มะเขือเทศสุก 3 ลูก สุกงอม 2 ลูก จะได้รสเปรี้ยวหวาน โดยไม่ต้องใส่น้ำมะนาว)
2. กระเทียม 20 กลีบ
3. หอมแดง 8 หัว
4. พริกสด 10 เม็ด
5. น้ำปลาร้าต้มสุก
6. เกลือ
7. ต้นหอม 1ต้น
8. ผักชี 1 ต้น
9. ผักสดและผักลวกชนิดต่างๆ

*** ถ้าชอบเปรี้ยวเพิ่มน้ำมะนาวได้ ***

วิธีทำแจ่วมะเขือเทศ

1. ตั้งกระทะบนเตาไฟ แล้วนำพริก หอมแดง กระเทียม และมะเขือเทศใส่ลงไปคั่วให้สุก ตักขึ้นใส่ถ้วยพักไว้ (หรือจะนำไปย่างไฟก็ได้)
2. โขลกพริก หอม กระเทียม พอหยาบๆ ใส่มะเขือเทศลงไป ตำเบาๆไม่ต้องให้มะเขือเทศแหลกมาก ใส่เกลือและน้ำปลาร้า คนให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วยโรยหน้าด้วยต้นหอมผักชีซอย ทานกับผักสดและผักลวกชนิดต่างๆ

น้ำพริกนรกปลาย่าง

น้ำพริกนรกปลาย่าง

ส่วนผสมน้ำพริกนรกปลาย่าง

1. พริกขี้หนูแห้ง 100 กรัม
2. ปลาย่างป่น 200 กรัม
3. กระเทียมไทย 1 + ½ หัว
4. หอมแดงไทย 1 + ½ หัว
5. กะปิใต้อย่างดี 2 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำมะขามเปียก
7. น้ำปลาดี
8. น้ำตาลทราย

วิธีทำน้ำพริกนรกปลาย่าง

1. คั่วกระเทียมและหอมแดง (สัดส่วนกระเทียมและหอมแดงปริมาณเท่าๆ กัน)
2. คั่วพริกแห้ง แล้วโขลกพอหยาบๆ ใส่กระเทียมและหอมคั่วลงโขลกให้เข้ากัน
3. ตักส่วนผสมในข้อ 2 ใส่ชามผสม ใส่ปลาย่างป่นตามลงไป ใช้ทัพพีคนให้เข้ากัน
4. ใส่กะปิ น้ำมะขามเปียก น้ำปลาดี และน้ำตาลทรายเล็กน้อย คลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากัน ชิมรสชาติตามชอบ
5. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ นำส่วนผสมที่ปรุงไว้ลงผัดด้วยไฟอ่อนๆ เป็นอันเสร็จ รับประทานกับผักสดผักลวก และไข่ต้มยางมะตูม

น้ำพริกเผา

น้ำพริกเผา รสหวานอมเปรี้ยวและเค็มปิดท้ายนิดๆ

ส่วนผสมน้ำพริกเผา

1. พริกแห้งเม็ดเล็ก 60 เม็ด (2 ถ้วยแกงพูนๆ)
2. พริกแห้งเม็ดใหญ่ 10-15 เม็ด (ใส่เพื่อเพิ่มเนื้อและสี)
3. หอมแดงเผา 15 หัว
4. กระเทียมเผา 15 กลีบ
5. มะขามเปียก 1 ปั้น (ประมาณ 250 กรัม)
6. น้ำตาลปี๊บ 50-80 กรัม
7. เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
8. น้ำมัน 0.5 ถ้วยตวง

วิธีทำน้ำพริกเผา

1. เด็ดขั้วพริกออก ใส่น้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะลงในกะทะ นำพริกลงไปคั่วให้หอม เสร็จแล้วตักขึ้นพักทิ้งไว้
2. นำหอมแดงและกระเทียมปอกเปลือกลงไปคั่ว เสร็จแล้วตักขึ้นพักทิ้งไว้
3. โขลกพริก หอมแดง และกระเทียม พอแหลกไม่ต้องละเอียดมาก
4. ใส่น้ำตาลปี๊บ เนื้อมะขามเปียก ตามด้วยเกลือ แล้วนำไปปั่นให้ละเอียด ชิมรสชาติได้ตามชอบ
5. จะได้เนื้อน้ำพริกเผาเหนียวๆข้นๆ จากนั้นนำไปผัดกับน้ำมันในกระทะจนได้ที่ ตักน้ำพริกใส่ภาชนะอื่นพักทิ้งไว้ให้เย็น จากนั้นจึงค่อยเก็บใส่ขวดโหลและปิดฝาให้สนิท

น้ำพริกหนุ่ม

น้ำพริกหนุ่ม

ส่วนผสมน้ำพริกหนุ่ม

1. พริกหนุ่ม 12-15 เม็ด
2. หอมแดงเผา 5-6 หัว
3. กระเทียมเผา 5-6 หัว
4. ปลาร้าขนาดเล็ก 1-2 ตัว (หรือน้ำปลาร้า 1-2 ช้อนโต๊ะ)
5. น้ำปลา 1-2 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา
7. มะนาว 1-2 ลูก

วิธีทำน้ำพริกหนุ่ม

1. โขลกพริกหนุ่ม หอมแดง กระเทียมที่เผาแล้วให้ละเอียด
2. ปลาร้าปิ้งแกะเอาแต่เนื้อใส่ (หรือน้ำปลาร้า 1-2 ช้อนโต๊ะ) โขลกรวมกันกับเครื่องน้ำพริก
3. ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล น้ำมะนาว ชิมรสตามชอบ รับประทานกับผักสดผักลวก แคบหมู หนังปอง ไส้อั่ว ไข่ต้ม หมู/ไก่/เนื้อ/ปลา ปิ้งหรือทอด

น้ำพริกอ่อง

น้ำพริกอ่อง สูตรดั้งเดิมจะมีสีส้มของมะเขือเทศและพริกแห้ง ที่เคี่ยวจนเป็นน้ำขลุกขลิก มีน้ำมันลอยหน้าเล็กน้อย มีสามรสคือ เปรี้ยว เค็ม เผ็ด ตัดรสหวานได้นิดหน่อยเพื่อความกลมกล่อม แต่ห้ามหวานนำเด็ดขาด นิยมรับประทานกับผักสดหรือผักต้ม แคบหมู หนังปอง ไข่ต้ม และอื่นๆตามชอบ

ส่วนผสมน้ำพริกอ่อง

1. เนื้อหมูบด 400 กรัม
2. มะเขือเทศลูกเล็ก 20 ลูก
3. ผักชีซอย 1 ช้อนโต๊ะ
4. ต้นหอมซอย 1 ช้อนโต๊ะ
5. น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
6. เครื่องแกงน้ำพริกอ่อง
- พริกแห้ง 20 เม็ด
- หอมแดง 5 หัว
- กระเทียม 10 กลีบ
- เกลือ 1/2 ช้อนชา
- กะปิย่างไฟ 1 ช้อนโต๊ะ
- ถั่วเน่าแผ่น ย่างไฟให้กรอบ 1/2 แผ่น

วิธีทำน้ำพริกอ่อง

1. โขลกพริกแห้ง หอมแดง กระเทียม รวมกันให้ละเอียด
2. ใส่กะปิและเกลือลงโขลกให้เข้ากัน ตามด้วยถั่วเน่าแผ่น
3. ผัดเครื่องแกงน้ำพริกอ่องกับน้ำมัน จนมีกลิ่นหอม ใส่เนื้อหมูบด ลงผัดให้สุก เติมน้ำเล็กน้อย
4. พอเดือดใส่มะเขือเทศ ลงผัดให้เข้ากัน ตั้งไฟต่อจนมะเขือเทศสุก ปิดไฟยกลง ตักเสิร์ฟโรยหน้าด้วยต้นหอมผักชีซอย

น้ำพริกปลาทู

น้ำพริกปลาทู

ส่วนประกอบน้ำพริกปลาทู

1. ปลาทูนึ่งย่างไฟ 2 ตัว
2. พริกหนุ่มย่างไฟ 5 เม็ด
3. พริกขี้หนูย่างไฟ 13 เม็ด
4. หอมแดงย่างไฟ 5 หัว
5. กระเทียมย่างไฟ 2 หัว
6. น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
7. น้ำปลาร้าต้มสุก 1/2 ถ้วย
8. ผักสดและผักลวกชนิดต่างๆตามชอบ
9. น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ (จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ตามชอบ)

วิธีทำน้ำพริกปลาทู

1. นำปลาทูนึ่งไปย่างไฟจนสุกดีทั้งสองด้าน พักให้เย็น แกะเอาแต่เนื้อปลา ใส่ถ้วยพักทิ้งไว้
2. จากนั้นนำพริกหนุ่ม พริกขี้หนู กระเทียม หอมแดง เสียบไม้ย่างไฟจนสุกดี แล้วลอกเอาเปลือกที่ไหม้ออก
3. โขลกพริกหนุ่ม พริกขี้หนู กระเทียม หอมแดง เข้าด้วยกันให้ละเอียด จากนั้นใส่เนื้อปลาทูที่แกะลงโขลกต่อพอละเอียด และเข้ากันดี ตักใส่ถ้วย
4. ใส่น้ำปลาร้าต้มสุก น้ำปลา (และน้ำมะนาว) ลงในถ้วยน้ำพริก คนให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ถ้าชอบเปรี้ยวก็ใส่น้ำมะนาวเพิ่มได้ รับประทานกับผักสดและผักลวกชนิดต่างๆตามชอบ

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559

วุ้นกะทิมะพร้าวน้ำหอม

วุ้นกะทิมะพร้าวน้ำหอม รสชาติของวุ้นเข้มข้น ทำขายได้ราคาดีค่ะ

ส่วนผสมวุ้นกะทิมะพร้าวน้ำหอม

1. น้ำมะพร้าวน้ำหอม 350 มิลลิลิตร
2. กะทิกล่องอัมพวา 650 มิลลิลิตร
3. ผงวุ้น 1 ช้อนโต๊ะ + 2 ช้อนชา
4. น้ำตาลทรายขาว 250 กรัม
5. เกลือ 1 ช้อนชา
6. ใบเตยมัดเป็นปมสัก 1-2 มัด
7. เนื้อมะพร้าวตามชอบ

วิธีทำวุ้นกะทิมะพร้าวน้ำหอม

1. นำผงวุ้นแช่ในน้ำมะพร้าว 10 นาทีขึ้นไป (แนะนำให้ใช้มะพร้าวน้ำหอมแท้นะคะ เพราะน้ำมะพร้าวจะหวานหอมมากค่ะ)
2. ยกขึ้นตั้งไฟเคี่ยววุ้นจนสุก (ถ้าวุ้นสุกจะมีลักษณะใสๆ ไม่เป็นเม็ดเล็กๆเกาะที่ทัพพี)
3. พอวุ้นสุกใส่น้ำตาลทรายขาว เกลือ ใบเตยมัดเป็นปมลงไป คนจนน้ำตาลและเกลือเริ่มละลาย ใส่กะทิลงไปเคี่ยวต่อให้พอเดือดปุดๆบริเวณขอบหม้อก็ยกลง หยอดลงพิมพ์ ใส่เนื้อมะพร้าว พอเซ็ตตัวนำแช่ตู้เย็น

วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ซอสเย็นตาโฟ

ซอสเย็นตาโฟ

ส่วนผสมซอสเย็นตาโฟ

1. ซอสมะเขือเทศ 200 กรัม
2. ซอสพริก 100 กรัม
3. เต้าหู้ยี้ 6 ก้อนเล็กบดละเอียด
4. น้ำมันหอย 100 กรัม
5. น้ำตาลทราย 50 กรัม
6. กระเทียมดองสับละเอียด 100 กรัม
7. น้ำกระเทียมดอง 50 กรัม
8. น้ำส้มสายชู 40 กรัม
9. ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
10. พริกขี้หนูแดงโขลกตามชอบ
11. สีแดงผสมอาหารเล็กน้อยผสมกับน้ำให้เข้ากัน (ไม่ใส่ก็ได้)

วิธีทำซอสเย็นตาโฟ

ผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน นำไปตั้งไฟ คอยคนให้อยู่เรื่อยๆจน จนเดือดได้ที่ ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วเก็บใส่ภาชนะที่แห้งปิดฝาให้สนิท เก็บไว้ในตู้เย็นได้หลายวันค่ะ

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ข้าวเหนียวปิ้งไส้กล้วย

ข้าวเหนียวปิ้งไส้กล้วย

ส่วนผสมข้าวเหนียวปิ้งไส้กล้วย

1. ข้าวเหนียวเขี้ยวงู 1 กิโลกรัม
2. กะทิอร่อยดี 3 กล่องเล็ก
3. น้ำตาลทราย 500 กรัม
4. เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ (พูนช้อนเลยค่ะ)
5. กล้วยค่อนข้างงอม (ปอกเปลือก ตัดแบ่งเป็น 8 ชิ้น / ลูก)

วิธีทำข้าวเหนียวปิ้งไส้กล้วย

1. นำข้าวเหนียวเขี้ยวงูมาล้างหลายๆครั้งจนน้ำใส แช่ทิ้งไว้ 3 ชั่วโมง แล้วนำไปนึ่ง 35-40 นาที
2. ระหว่างรอข้าวเหนียวสุก นำกะทิ น้ำตาลทราย และเกลือป่นผสมคนไปทางเดียวจนน้ำตาลละลายหมด
3. พอข้าวเหนียวสุก ตักใส่ภาชนะ ทำช่องตรงกลางไว้ เทน้ำกะทิที่ผสมแล้วลงตรงกลาง ใช้ไม้พายคนให้เข้ากันกับข้าวเหนียว
4. คนเสร็จ ปิดฝาทิ้งไว้ 10 นาที แล้วมาคนอีกรอบจนทั่ว คนประมาณ 5 นาที และพักทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง จะได้ข้าวเหนียวมูนเม็ดสวย รสชาติอร่อย
5. ระหว่างพักข้าวเหนียวมูนไว้ เรามาเตรียมกล้วยค่อนข้างงอม ปอกเปลือก ตัดแบ่งเป็น 8 ชิ้น / ลูก
6. แล้วฉีกใบตองกว้างประมาณ 4-5 นิ้ว สำหรับห่อค่ะ
7. เมื่อมูนข้าวเหนียวได้ที่ พร้อมกับเตรียมกล้วยและใบตองเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการห่อข้าวเหนียวกับกล้วยได้เลยค่ะ เสร็จแล้วนำไปย่างไฟจนใบตองเป็นสีเหลืองและข้าวเหนียวมีกลิ่นหอม ก็เสร็จพร้อมทานค่ะ
ลองดูค่ะ

แกงหมูชะมวง

แกงหมูชะมวง

ส่วนผสมแกงหมูชะมวง

1. พริกแกง (เตรียมส่วนผสมด้านล่าง นำมาโขลกรวมกันให้ละเอียด)
  • พริกชี้ฟ้าแห้ง หั่นแกะเมล็ดออกแช่น้ำ 7 เม็ด (หรือถ้าชอบเผ็ดก็เพิ่มได้)
  • ตะไคร้ซอย
  • ข่าซอย
  • กระเทียมแกะเปลือก 10-15 กลีบ
  • หอมแดงแกะเปลือก 5 หัว
  • กะปิ
  • เกลือป่น
  • กุ้งแห้ง
  • รากผักชี
2. เนื้อหมูสันคอติดมัน (หรือเนื้อขาหมู) 1 กิโลกรัม
3. ใบชะมวง
4. ซีอิ้วดำหวาน
5. เกลือ
6. น้ำตาลปี๊บ
7. น้ำมะขามเปียก

วิธีทำแกงหมูชะมวง

1. นำเนื้อหมูสันคอติดมัน (หรือขาหมู) มาหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมประมาณ 2 นิ้ว หมักด้วยน้ำตาลปี๊บ ซีอิ้วดำหวาน และเกลือ พักไว้ 4-5 ชั่วโมง
2. ตั้งกระทะไฟอ่อน ใส่น้ำมันพืชลงไป พอร้อน ใส่พริกแกงที่โขลกไว้ลงผัดจนแตกมัน
3. ฉีกใบชะมวงใส่ลงไปผัดจนใบชะมวงเริ่มเปลี่ยนสี นำเนื้อหมูที่หมักไว้มาผัดรวมกัน เติมน้ำเปล่า พอเดือดเติมน้ำตาลปี๊บและเกลือ เคี่ยวด้วยไฟอ่อน 20-30 นาที เติมน้ำมะขามเปียก เคี่ยวต่อจนเนื้อหมูนุ่ม (หรือถ้ามีหม้อตุ๋นแนะนำเลยค่ะ เพราะเนื้อหมูจะนุ่มมาก) เสร็จแล้ว ปิดไฟ เสิร์ฟทานกับข้าวสวยร้อนๆได้แล้วค่า

ไชโป๊วผัดไข่

ไชโป๊วผัดไข่ สูตรนี้แตกต่างกับไชโป๊วผัดไข่ธรรมดาก็ตรงที่ผัดใส่หัวกะทิ แต่ขอบกว่าอร่อยหอมมันนะคะ ทานกับขาวสวย หรือ ข้าวต้ม หรือ ข้าวแช่ก็ได้ค่ะ

ส่วนผสมไชโป๊วผัดไข่

1. ไชโป๊วฝอยล้างสะอาดบีบให้แห้ง 1 ถ้วย
2. หัวกะทิ 6 ช้อนโต๊ะ
3. หอมแดงซอย 2 ช้อนโต๊ะ
4. ไข่เป็ด 2 ฟอง
5. น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำไชโป๊วผัดไข่

1. นำกระทะตั้งไฟ ใส่หัวกะทิลงผัดจนแตกมัน
2. แล้วใส่หอมแดงซอยลงผัดจนหอม
3. ใส่ไชโป๊วฝอยผัดให้เข้ากันจนทั่ว
4. เติมน้ำตาลปี๊บลงผัดไฟอ่อนไปเรื่อยๆจนเนื้อไชโป๊วเริ่มใส ปรุงรสด้วยน้ำปลาคนให้เข้ากัน ตอกไข่ใส่ลงไปผัดต่อจนแห้ง ปิดไฟ ตักใส่จานเสิร์ฟได้เลยค่ะ

น้ำพริกนรกกากหมู

น้ำพริกนรกกากหมู

ส่วนผสมน้ำพริกนรกกากหมู

1. หอมแดงซอย 2 ขีด
2. กระเทียมโขลกพอหยาบๆ 2 ขีด
3. พริกแห้ง 2 ขีด
4. กุ้งแห้ง 1 ขีด
5. กะปิ 1+1/2 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำตาลทราย 12 ช้อนโต๊ะ (เพิ่มลดได้ตามชอบเลยค่ะ)
7. เกลือ (ถ้าชิมแล้วอ่อนเค็มก็เติมได้ตามชอบค่ะ)
8. กากหมูกรอบๆ

วิธีทำน้ำพริกนรกกากหมู

1. นำหอมแดงซอย พริกแห้ง และกุ้งแห้งลงทอดในน้ำมันให้หอมเหลือง แล้วใส่ถ้วยพักไว้ (ทอดแยกกันนะคะ) จากนั้นคั่วกะปิในน้ำมันจนหอม พักไว้
2. จากนั้นก็โขลกส่วนผสมทุกอย่างให้ละเอียด (โขลกแยกแต่ละอย่างค่ะ) แล้วนำใส่ภาชนะคลุกเคล้าให้ทุกอย่างเข้ากัน ชิมรสดูใครชอบหวานชอบเค็มก็ปรุงเพิ่มได้เลย
3. เทลงกระทะตั้งไฟอ่อนๆ คั่วพอแห้ง แล้วก็กากหมูลงไปคั่วต่ออีกหน่อย เสร็จแล้ว ปิดไฟ ตักใส่ภาชนะ แล้วรอให้เย็นสนิทค่อยเก็บใส่กล่องหรือถุงมัดไม่ให้อากาศเข้า เพื่อความกรอบของกากหมูค่ะ เวลาทานกับข้าวสวยร้อนๆก็เพิ่มไข่ต้มยางมะตูมซักฟองก็ทานได้แล้วค่ะ

(กุ้งแห้งกับกะปิแต่ละยี่ห้อความเค็มอาจไม่เหมือนกัน ลองชิมดูแล้วก็เติมหวานเค็มตามความชอบได้เลยนะคะ)

ต้มโคล้งปลากรอบ

ต้มโคล้งปลากรอบ

ส่วนผสมต้มโคล้งปลากรอบ

1. ปลาย่าง 1 ตัว บิเป็นชิ้นๆ
2. พริกแห้งย่างไฟบุบพอแตก
3. หอมแดงย่างไฟบุบพอแตก
4. พริกขี้หนูซอย
5. ต้นหอมหั่นท่อน
6. ผักชีฝรั่งหั่นท่อน
7. ข่าหั่นแว่น
8. ตะไคร้หั่นท่อน
9. ใบมะกรูดฉีก
10. มะเขือเทศลูกเล็กผ่าครึ่ง
11. น้ำมะขามเปียก
12. น้ำมะนาว
13. น้ำตาลทราย
14. น้ำเปล่า (หรือน้ำซุปก็ได้)

วิธีทำต้มโคล้งปลากรอบ

1. เทน้ำเปล่าหรือน้ำซุปในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟ ใส่พริกขี้หนูซอย ข่าหั่นแว่น ตะไคร้หั่นท่อน และหอมแดงย่างไฟบุบพอแตกลงไปต้มให้เดือด
2. พอเดือดใส่น้ำมะขามเปียก น้ำปลา และน้ำตาลทรายลงไป ชิมรสให้ได้ตามต้องการ
3. ใส่ปลาย่างกรอบลงไป รอเดือดอีกครั้ง ใส่มะเขือเทศผ่าครึ่ง ต้นหอมหั่นท่อน ผักชีฝรั่งหั่นท่อน ใบมะกรูดฉีก พริกแห้งย่างไฟบุบพอแตก (แบ่งไว้โรยหน้าด้วยค่ะ) ลงไป ปิดไฟ
4. ใส่น้ำมะนาวลงไป ชิมรสอีกครั้ง ตักเสิร์ฟ โรยหน้าด้วยพริกแห้งที่เหลือก็อร่อยได้เลยค่ะ

ผัดหน่อไม้

ผัดหน่อไม้

ส่วนผสมผัดหน่อไม้

1. หน่อไม้ต้มสุกบรรจุถุง 4 ขีด (นำมาต้มทิ้งน้ำ 1 น้ำ)
2. หมูสับ 3 ขีด
3. พริกขี้หนูแดงจินดา 25 เม็ด
4. กระเทียมกลีบใหญ่ 5 กลีบ
5. พริกแกงแดง 1/2 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำปลาแท้ 2+1/2 ช้อนโต๊ะ
7. ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
8. ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ
9. น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
10. ใบกะเพรา 1 กำมือ
11. น้ำสะอาด 3 ทัพพี
12. น้ำมันหมู 1 ทัพพี

วิธีทำผัดหน่อไม้

1. โขลกพริกขี้หนูแดงจินดาและกระเทียมกลีบใหญ่ให้ละเอียดแบบหยาบๆ รอไว้
2. ตั้งกระทะไฟกลาง ใส่น้ำมัน พอร้อน ใส่พริกกระเทียมที่โขลกไว้ พริกแกงแดง และน้ำตาลทรายลงผัดพร้อมกันให้หอม
3. ใส่หมูสับลงผัดให้สุก ใส่หน่อไม้และน้ำเปล่านิดหน่อยลงไป รอให้เดือด
4. ปรุงรสด้วยน้ำปลา ซีอิ้วขาว ซอสปรุงรส ผัดให้เข้ากันจนน้ำงวด
5. ใส่ใบกะเพรา ผัดให้เข้ากันจนหอม ปิดไฟ ตักใส่จาน ทานกับข้าวสวยร้อนๆ

ปูผัดผงกะหรี่

ปูผัดผงกะหรี่

ส่วนผสมปูผัดผงกะหรี่

1. ปูม้าสด (ล้างขัดถูสะอาด แหวกตะปิ้ง แงะกระดอง ตัดเล็บ แยกกรรเชียงออกไว้ แล้วผ่าครึ่งปูที่เหลือค่ะ)
2. กระเทียมสับ
3. น้ำมันพืช
4. ต้นหอมหั่นท่อน
5. ขึ้นฉ่ายหั่นท่อน
6. พริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบ
7. ไข่ไก่
8. กะทิ
9. น้ำมันพริกเผา
10. ผงกะหรี่
11. น้ำตาลทราย
12. น้ำปลา
13. ซีอิ๊วขาว
14. เกลือป่น

วิธีทำปูผัดผงกะหรี่

1. ตั้งกระทะ ไฟกลาง ใส่น้ำมันพืช รอให้น้ำมันร้อน ใส่กระเทียมสับลงผัดให้หอม นำปูลงไปผัด ปิดฝาไว้สักพัก อบให้ปูสุก
2. ตีไข่ไก่ให้ฟู เติมกะทิ น้ำมันพริกเผา ผงกะหรี่ น้ำตาลทราย น้ำปลา ซีอิ๊วขาว และเกลือป่น ตีให้เข้ากัน
3. เมื่อปูสุกใส่ต้นหอมและขึ้นฉ่ายลงไป แล้วราดส่วนผสมที่ตีไว้ลงไป
4. กระดกกระทะ 2-3 ครั้ง ไม่ต้องให้ไข่สุกมาก ใส่พริกชี้ฟ้าลงไป คนเพียงเล็กน้อย ปิดไฟ ตักใส่จานทานได้เลยค่า

ตับหวาน

ตับหวาน

ส่วนผสมตับหวาน

1. ตับหมู
2. น้ำสต๊อกที่ได้จากการต้มกระดูกหมู (ถ้าไม่มีก็ใช้น้ำเปล่า)
3. หอมแดง / ใบมะกรูด / ต้นหอม / ผักชีไทย / ผักชีฝรั่ง / สาระแน่ ซอย
4. พริกป่นคั่ว
5. ข้าวคั่ว
6. มะนาว
7. น้ำปลา
8. ผงชูรส (ถ้าใครไม่กินก็ไม่ใส่ ใส่น้ำตาลแทนได้นิดเดียวค่ะ)

วิธีทำตับหวาน

1. นำเกลือมาขยำกับตับหมูแล้วล้างน้ำด้วยน้ำสะอาดประมาณ 2 ครั้ง แล้วหั่นเป็นชิ้นพอคำ
2. ตั้งหม้อใส่น้ำพอเดือด ใส่ตับหมูลงไปลวน ไม่ต้องนานเพราะเดี๋ยวตับหมูจะแข็ง ตักขึ้นใส่ชามผสม
3. ปรุงรสด้วยพริกป่น ข้าวคั่ว น้ำปลา น้ำมะนาว ผงชูรส (หรือน้ำตาลแทน) และน้ำสต๊อกลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่หอมแดง / ใบมะกรูด / ต้นหอม / ผักชีไทย / ผักชีฝรั่ง / สาระแน่ซอยลงไปคลุกอีกครั้งก็เป็นอันเสร็จ

แกงป่าปลาเห็ดโคน

แกงป่าปลาเห็ดโคน

ส่วนผสมแกงป่าปลาเห็ดโคน

1. ปลาเห็ดโคน แล่เป็นชิ้น
2. เครื่องแกงป่า (พริกขี้หนูเขียว พริกขี้หนูแดงนิดหน่อย เกลือเม็ด ข่าแก่ซอยบาง โคนตะไคร้ซอยบาง กระชายขูดเปลือกซอย หอมแดงซอย กระเทียมไทย กะปิ โขลกตามลำดับ)
3. น้ำสะอาด
4. น้ำปลา
5. น้ำตาลทรายปลายช้อน
6. มะเขือเปราะผ่าสี่ แช่น้ำเกลือ
7. กระชายขูดเปลือกแล้วซอยบางๆ
8. พริกไทยอ่อน
9. พริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบ
10. ใบกระเพรา

วิธีทำแกงป่าปลาเห็ดโคน

1. ตั้งหม้อบนเตาด้วยไฟอ่อน ใส่น้ำสะอาดเล็กน้อย เมื่อน้ำเดือดใส่เครื่องแกงป่าที่โขลกไว้ลงไป ใช้ทัพพีเคล้าจนเครื่องแกงสุกหอม ค่อยๆใส่น้ำสะอาดเพิ่มทีละนิด ใช้ทัพพีเคล้าเหมือนเดิม ทำแบบนี้จนได้ปริมาณน้ำแกงที่ต้องการ
2. เร่งไฟ เมื่อน้ำแกงเดือด ใส่มะเขือเปราะ กระชายซอย พริกไทยอ่อน และเนื้อปลาเห็ดโคนลงไป เมื่อปลาสุก ใส่ใบกระเพราลงไป ใช้ทัพพีกดเบามือให้จมน้ำแกง ใส่พริกชี้ฟ้า แล้วปิดไฟ ตักใส่ชาม รับประทานกับข้าวสวยและไข่เจียวหอมๆค่ะ

ข้าวผัดแหนม

ข้าวผัดแหนม

ส่วนผสมข้าวผัดแหนม

1. แหนมหั่นหยาบๆ
2. กระเทียมสับ
3. ผักคะน้าหั่นเป็นชิ้น
4. พริกสดซอย
5. มะนาว
6. ต้นหอมซอย + ผักชีซอย
7. ไข่เป็ดหรือไข่ไก่
8. พริกไทยป่น
9. หอมใหญ่สับ
10. น้ำปลา
11. น้ำตาลทราย
12. ข้าวสวยเย็นขยำให้ร่วน
13. น้ำมันสำหรับผัด

วิธีทำข้าวผัดแหนม

1. ใส่น้ำมันลงในกระทะยกตั้งไฟให้พอร้อน ใส่หอมใหญ่สับและกระเทียมสับลงผัดพอหอม
2. ใส่แหนมหั่นหยาบๆลงไปผัด เมื่อแหนมเริ่มเปลี่ยนสี ใส่ข้าวสวยลงไปผัดพอเม็ดข้าวตึงๆเขี่ยข้าวไว้ขอบกระทะ ตอกไข่ใส่ลงไป แล้วใช้ตะหลิวยีไข่ให้แตก สังเกตดูว่าไข่เริ่มจับตัวคล้ายๆไข่คนก็ให้เกลี่ยข้าวลงไปผัดคลุกกับไข่ให้เข้ากัน
3. ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลทราย พริกสดซอย พริกไทยป่น บีบมะนาวตามลงไป ใส่ผักคะน้า ต้นหอมซอย และผักชีซอยลงคนให้ทั่วแล้วปิดเตา ตักใส่จานเสิร์ฟคู่กับไข่ดาว พริกน้ำปลา แตงกวา โคนต้นหอม ผักชี และ มะนาวหั่นเสี้ยว

กระดูกหมูทอดกระเทียมพริกไทย

กระดูกหมูทอดกระเทียมพริกไทย

ส่วนผสมกระดูกหมูทอดกระเทียมพริกไทย
 
1. กระดูกหมูอ่อนสับขนาดตามความต้องการ
2. พริกไทยเม็ด
3. รากผักชี
4. กระเทียม
5. ซีอิ๊วขาวเห็ดหอม
6. เกลือป่นนิดหน่อย
7. แป้งสาลี
8. น้ำเย็นจัดประมาน 2 ช้อนโต๊ะ
9. น้ำมันสำหรับทอด

วิธีทำกระดูกหมูทอดกระเทียมพริกไทย
1. นำรากผักชี + กระเทียม + พริกไทยเม็ดมาตำรวมกันให้แหลก จากนั้นคลุกเคล้าหมักกับกระดูกหมู ปรุงรสด้วยเกลือป่น ซีอิ๊วขาว แป้งสาลี เติมน้ำเย็นจัดที่เตรียมใว้ลงไปคลุกให้เข้ากัน เพื่อให้แป้งและเครื่องปรุงเข้ากันดีไม่จับเป็นก้อน
2. ยกกระทะตั้งไฟใส่น้ำมันให้ร้อนได้ที่ แล้วทยอยใส่กระดูกหมูที่หมักแล้วลงไปทอดด้วยไฟปานกลาง จนสุกเหลืองโดยทั่ว เเล้วเร่งไฟให้แรงสักครู่ก่อนตักขึ้น เพื่อไม่ให้อมน้ำมัน ตักใส่ตะเเกรงให้สะเด็ดน้ำมัน เสิร์ฟร้อนๆกับข้าวเหนียวได้เลยค่า

ยำผักบุ้งกรอบ

ยำผักบุ้งกรอบ

ส่วนผสมยำผักบุ้งกรอบ

1. ผักบุ้งจีน 2 กำ
2. แป้งทอดกรอบประมาณ 150 กรัม
3. น้ำเย็นจัด 300 มิลลิลิตร
4. น้ำมันพืช
5. ถั่วลิสงคั่ว
6. เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด
7. หอมแดงเจียว
8. กุ้งลวกสุก
9. หมูสับลวกสุก
10. น้ำตาลทรายป่น 3 ช้อนโต๊ะ
11. น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
12. น้ำปลา 2+1/2 ช้อนโต๊ะ
13. พริกชี้ฟ้าแดงหั่น
14. หอมแดงซอย
15.ต้นหอมซอย + ผักชีซอย

วิธีทำยำผักบุ้งกรอบ

1. นำผักบุ้งจีนมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วเด็ดเอายอดหรือจะเด็ดเป็นใบๆก็ได้
2. ผสมแป้งทอดกรอบ 150 กรัมกับน้ำเย็น 300 มิลลิลิตร จะได้แป้งที่มีลักษณะข้นๆเหนียวๆ
3. ตั้งกระทะให้ร้อนใส่น้ำมันปริมาณมากหน่อย กะให้พอท่วมผัก แล้วใส่ผักบุ้งที่เด็ดแล้วลงไปในชามส่วนผสมแป้ง
4. นำยอดผักบุ้งที่ชุบแป้งลงไปทอด โดยแป้งที่ผสมต้องเคลือบผักถึงจะทอดออกมาได้สวย เวลาทอดอย่าใส่ผักบุ้งลงไปเยอะ เดี๋ยวจะกรอบไม่ทั่วถึง ให้แบ่งทอดทีละน้อยจนหมด โดยใช้ไฟกลางค่อนข้างแรง หากใช้ไฟอ่อนจะทำให้อมน้ำมัน กินไม่อร่อยค่ะ
5. เมื่อทอดเสร็จแล้ว โรยหน้าผักบุ้งกรอบด้วยถั่วลิสงคั่ว เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด และหอมแดงเจียว
6. จากนั้นไปทำน้ำยำกันค่ะ เตรียมชามหรือกะละมังขนาดย่อม ใส่น้ำตาลทราย น้ำมะนาว และน้ำปลาลงไปคนให้เข้ากัน ใส่พริกชี้ฟ้าแดง หอมแดงซอย ต้นหอมซอย และผักชีซอยลงไปคลุกค่ะ
7. ใส่หมูสับและกุ้งที่ลวกเอาไว้แล้วลงไป คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้สักครู่ เพื่อให้น้ำยำเข้าเนื้อค่ะ จากนั้นก็ใส่จานพร้อมเสิร์ฟ จะทำแบบราดน้ำยำลงไปบนผักบุ้งกรอบ หรือทานแบบแยกก็ได้ค่ะ

ผักเหลียงผัดไข่ (ใบเหลียงผัดไข่)

ผักเหลียงผัดไข่ อาหารพื้นบ้านที่เป็นผักที่ทานได้ง่ายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะไม่มีรสขม นำมาผัดใส่ไข่ ผัดแบบใส่กะปิแบบแห้งๆ ไม่ใส่ซอส หรือน้ำมันหอย เหมือนที่กินตามร้านอาหารก็อร่อยเหมือนกันค่ะ

ส่วนผสมผักเหลียงผัดไข่

1. ผักเหลียง (เด็ดใบอ่อนและที่ไม่แก่มาก ใบใหญ่ตัดครึ่งใบเอาเส้นกลางใบออก)
2. กระเทียม 10 กลีบ (บุบพอแตก)
3. กะปิ 1 ช้อนชา
4. ไข่ไก่ 2 ฟอง
5. น้ำปลา
6. น้ำตาล
7. น้ำมันสำหรับผัด

วิธีทำผักเหลียงผัดไข่

1. นำผักเหลียงมาเด็ดใบอ่อนและที่ไม่แก่มาก ถ้าใบใหญ่ให้ตัดครึ่งใบเอาเส้นกลางใบออก เตรียมไว้
2. ตั้งกระทะบนเตาไฟ ใส่น้ำมันลงไป รอให้ร้อน ใส่กระเทียมบุบพอแตกลงผัดให้หอม แล้วใส่กะปิลงไปผัดต่อ ใส่ผักเหลียงลงผัด พอผักเริ่มสีเข้มขึ้น เขี่ยผักไว้ข้างกระทะ แล้วตอกไข่ไก่ลงไปกลางกระทะ ใช้ตะหลิวยีให้ไข่แตก พอไข่เริ่มสุก ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาลเล็กน้อย ผัดให้เข้ากัน ตักใส่จาน เสิร์ฟทานได้เลยค่า

เนื้อตุ๋น

เนื้อตุ๋น

ส่วนผสมเนื้อตุ๋น

1. เนื้อวัวประมาณ 8 ขีด (ติดมันนิดหน่อยจะดีค่ะ)
2. กระเทียม + รากผักชี + พริกไทยเม็ด โขลกรวมกัน
3. ผงพะโล้ 1 ช้อนโต๊ะ
4. อบเชย + โป๊ยกั๊ก
5. น้ำตาลปี๊ป
6. น้ำปลา
7. ซีอิ๊วดำ
8. น้ำเปล่า
9. น้ำมันพืช
10. ผักชีเยอะๆจะหอมมาก

วิธีทำเนื้อตุ๋น

1. นำเนื้อวัวติดมันมาหั่นเป็นชิ้นใหญ่สักหน่อย พักไว้
2. แล้วนำกระเทียม + รากผักชี + พริกไทยเม็ด มาโขลกรวมกันพอแหลก
3. นำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันนิดหน่อย ใส่กระเทียม,รากผักชี,พริกไทยเม็ดที่โขลกไว้ลงผัดให้หอม ใส่เนื้อวัวตามลงไปผัดจนเนื้อสุกดี ใส่ผงพะโล้ลงผัดให้เข้ากัน
4. เทใส่หม้อ เติมน้ำเปล่าลงไปให้ท่วม ใส่อบเชย โป๊ยกั๊ก และซีอิ๊วดำลงไป ปิดฝา ต้มต่อจนเนื้อเปื่อย
5. ปรุงรสด้วยน้ำปลาหรือผงปรุงรส น้ำตาลปี๊ป ชิมรสให้ได้เค็มหวานตามชอบ
6. ตักอบเชยและโป๊ยกั๊กออก (ทิ้งไว้นานจะขม)
7. ใส่ผักชีลงต้มต่อจนเหลือน้ำขลุกขลิก ตักเสิร์ฟทานกับข้าวสวยร้อนๆ บะหมี่ หรือเส้นหมี่ก็ได้ตามชอบค่ะ

พริกแกงเผ็ด

พริกแกงเผ็ด

ส่วนผสมพริกแกงเผ็ด

1. ตะไคร้ 3 ต้นใหญ่
2. ข่า ½ หัว
3. ผิวมะกรูด 1 ลูก
4. พริกแห้งใหญ่ 12 เม็ด (ถ้าชอบให้สีแดงสวยใส่เยอะๆ)
5. พริกแห้งเล็ก 8 เม้ด (ถ้าชอบเผ็ดใส่เยอะๆ)
6. กะปิ ½ ช้อนโต๊ะ
7. เกลือ ¼ ช้อนโต๊ะ
8. กระเทียมปอกเปลือก 18-20 กลีบ
9. หอมแดงปอกเปลือก 4-5 หัว

วิธีทำพริกแกงเผ็ด

1. ซอยข่า ตะไคร้ และผิวมะกรูดให้เป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อให้โขลกง่าย
2. ล้างพริกแห้งด้วยน้ำสะอาด เพื่อนำฝุ่นและสิ่งแปลกปลอมออก
3. ใส่ ข่า ตะไคร้ ผิวมะกรูด พริกแห้ง กะปิ และเกลือลงไปโขลกในครกจนแหลก
4. ใส่กระเทียมและหอมแดงที่ปอกเปลือกแล้วลงไป หลังจากนั้นโขลกต่อจนละเอียดตามต้องการ ก็เป็นอันเสร็จ พร้อมนำไปปรุงอาหารต่อแล้วค่ะ

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บราวนี่หน้ากรอบ

บราวนี่หน้ากรอบ บราวนี่สูตรนี้เป็นบราวนี่ที่ทำง่ายๆ ใช้เพียงผงโกโก้ก็จะเป็นบราวนี่ที่อร่อย เนื้อในนุ่มหนึบๆเป็น Fudgy Brownies รสชาติเข้มข้น ผิวหน้าหน้ากรอบกำลังดี

ส่วนผสมบราวนี่หน้ากรอบ

1. เนย 3/4 ถ้วย (หรือ 150 กรัม)
2. น้ำตาลทราย 1+1/2 ถ้วย
3. ไข่ 2 ฟอง
4. วานิลลา 3 ช้อนชา
5. ผงโกโก้ 1/2 ถ้วย
6. แป้งอเนกประสงค์ 3/4 ถ้วย
7. ถั่วอัลมอนด์ 3/4 ถ้วย (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
8. ช็อกโกแลตชิบ 1 ถ้วย (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)

วิธีทำบราวนี่หน้ากรอบ

1. วอร์มเตาอบ 175 องศาเซลเซียส ระหว่างวอร์มให้นำอัลมอนด์เข้าไปอบประมาณ 10 - 12 นาที จนกรอบ จากนั้นสเปย์น้ำมันใใส่พิมพ์สี่เหลี่ยมขนาด 9 นิ้ว (หรือจะใช้พิมพ์ 6 นิ้วก็ได้) พร้อมกรุกระดาษไขให้สูงขึ้นมาด้านข้างของพิมพ์ด้วย ตอนเอาขนมออกจากพิมพ์จะได้ทำได้ง่ายๆ
2. ละลายเนยบนเตา พอเนยละลายหมด ปิดเตา ใส่น้ำตาลทรายลงไป ใช้พายไม้คนให้เนยเย็นและน้ำตาลละลายเข้ากับเนย พักให้เย็นสักครู่ค่ะ
3. ใส่ไข่และวานิลลาลงไปในส่วนผสมเนยน้ำตาล คนด้วยตะกร้อมือหรือไม้พายจนส่วนผสมเนียน
4. ใส่ผงโก้โก้และแป้งไม่ต้องร่อนลงไป คนแรงๆและเร็วๆ ด้วยไม้พาย 2-3 นาที จนกระทั่งส่วนผสมเนียนและเงา
5. ใส่อัลมอนด์กรอบและช็อกโกแลตชิบลงไปคนให้เข้ากัน
6. เทส่วนผสมลงในพิมพ์ นำเข้าเตาอบที่วอร์มไว้ 175 องศาเซลเซียส ถ้าทำสูตรเดียวปริมาณเท่าสูตรจะอบ 30-35 นาที หรือจนกระทั่งหน้าขนมเริ่มแห้งและแตกเป็นแผ่น
  • วิธีเช็คว่าขนมสุกได้ที่หรือยัง ให้ใช้ไม้ปลายแหลมจิ้มลงไปตรงกลางขนม ถ้ามีขนมติดขึ้นมาแบบเหนียวๆนิดหน่อยนำออกจากเตาได้ แต่ถ้าขนมที่ติดขึ้นมาเป็นของเหลวไม่มีชิ้นขนมเลยให้อบต่อไป
7. เมื่ออบบราวนี่สุกได้ที่ ให้ยกออกจากเตา พักทิ้งไว้ให้เย็น 5 นาที แล้วค่อยๆยกกระดาษไขขึ้นมา ค่อยๆลอกกระดาษไขออก พักไว้บนตะแกรงจนเย็น ตัดเสิร์ฟได้เลยค่ะ

เค้กกล้วยหอมสูตรนุ่ม

เค้กกล้วยหอมสูตรนุ่ม สูตรนี้ถ้าใช้พิมพ์มัฟฟิ่นขนาด 2 นิ้ว จะทำได้ประมาณ 18 ถ้วยค่ะ

ส่วนผสมเค้กกล้วยหอมสูตรนุ่ม

1. แป้งเค้ก 200 กรัม
2. ไข่ไก่ 3 ฟอง
3. ผงฟู 1+1/2 ช้อนชา
4. เบคกิ้งโซดา 1 ช้อนชา
5. เกลือ 1/2 ช้อนชา
6. น้ำมันพืช 1 ถ้วยตวง
7. น้ำตาลทราย 180 กรัม
8. กล้วยหอมสุกบด 200 กรัม
9. น้ำมะนาว 1 ช้อนชา

วิธีทำเค้กกล้วยหอมสูตรนุ่ม

1. อุ่นเตาอบที่อุณหภูมิ 400 F หรือ 200 C (ไฟบน)
2. จากนั้นร่อนแป้งเค้ก + ผงฟู + เบคกิ้งโซดาเข้าด้วยกัน พักไว้
3. บดกล้วยหอมและน้ำมะนาวเข้าด้วยกัน พักไว้
4. ตีไข่ไก่ + น้ำตาลทราย + เกลือให้ขึ้นฟู ตีด้วยความเร็วสูง ประมาณ 7-8 นาที
5. แล้วปรับเป็นความเร็วต่ำ เติมแป้งที่ร่อนแล้วลงไป ตีต่อให้เข้ากัน ประมาณ 1 นาที เติมน้ำมันพืชลงไป ตีต่อด้วยความเร็วกลางอีกประมาณ 2 นาที
6. เติมกล้วยหอมบดลงไป ตีต่อด้วยความเร็วต่ำอีกประมาณ 1 นาที
7. หยอดใส่ถ้วยพิมพ์ขนาด 2 นิ้ว นำเข้าอบไฟ 400 F ประมาณ 20-25 นาที ตอนอบได้ 20 นาทีสีก็ดูเข้มแล้วค่ะ เลยยกออกจากเตาอบเลย จากนั้นก็พักบนตะแกรงให้เย็น แล้วบรรจุใส่ภาชนะปิดสนิท เท่านี้เราก็จะได้เค้กกล้วยหอมอร่อยๆไว้ทานแล้วค่ะ ยิ่งเก็บไว้ข้ามคืน เนื้อเค้กจะยิ่งชุ่มชื้น ลองทำทานดูค่ะ

วิธีทำน้ำปูนใส

น้ำปูนใส

ส่วนผสมน้ำปูนใส

1. ภาชนะหรือโหลที่จะใส่น้ำปูนใส
2. ปูนแดง 1 ช้อนโต๊ะ
3. น้ำสะอาด 4 ถ้วยตวง




วิธีทำน้ำปูนใส

ตักปูนแดงใส่ในโหลขวดแก้ว แล้วค่อยๆเทน้ำสะอาดตามลงไป คนให้ปูนแดงละลายจนหมด ปิดฝา ทิ้งไว้ค้างคืนให้ตกตะกอน ผ่านไป 1 คืน ให้เราตักฝ้าด้านบนทิ้งก่อนนะคะ จากนั้นก็ตักน้ำปูนใสขึ้นมาใช้ได้แล้วค่ะ

เค้กช็อกโกแลตหน้านิ่ม

เค้กช็อกโกแลตหน้านิ่ม (สูตรเชฟอุ๋มอิ๋ม)

ส่วนผสมเค้กและวิธีทำช็อกโกแลตหน้านิ่ม

แป้งเค้ก

ส่วนที่ 1
1. แป้งเค้ก 160 กรัม
2. ผงฟู 1/2 ช้อนชา
3. เบคกิ้งโซดา 1 ช้อนชา
4. ผงวานิลลา 1/2 ช้อนชา
5. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
6. ผงโกโก้ 50 กรัม
7. น้ำตาลทรายป่น 200 กรัม

ส่วนที่ 2
1. น้ำเปล่า 100 กรัม
2. นมข้นจืด 50 กรัม
3. น้ำมะนาว 2 ช้อนชา
4. น้ำมันพืช 125 กรัม
5. ไข่แดง 4 ฟอง

ส่วนที่ 3
1. ไข่ขาว 4 ฟอง
2. น้ำตาลทราย 100 กรัม
3. ครีมออฟทาทาร์ 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ

1. นำส่วนผสมแป้งเค้กส่วนที่ 1 มาร่อนรวมกันทั้งหมด เตรียมไว้
2. แล้วส่วนผสมแป้งเค้กส่วนที่ 2 มาผสมคนให้เข้ากัน เตรียมไว้
3. จากนั้นนำส่วนที่ 1 และ ส่วนที่ 2 เทผสมรวมกันในอ่างผสม คนด้วยตะกร้อมือ แล้วกรองด้วยกระชอนถี่ๆ พักส่วนผสมนี้ไว้
4. ต่อมาเรามาตีไข่ในส่วนที่ 3 ให้เป็นฟองหยาบๆ แล้วค่อยๆใส่น้ำตาลและครีมออฟทาทาร์ลงไป ตีให้ขึ้นฟูตั้งยอด
5. แล้วนำไปผสมรวมกันกับส่วนผสมที่ทำไว้ในข้อที่ 3 ตะล่อมเบาๆด้วยพายยางให้เข้ากัน จนส่วนผสมเข้ากันดี
6. เทส่วนผสมใส่พิมพ์ขนาด 8 นิ้วที่รองด้วยกระดาษไขเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องทาไขมันที่กระดาษไขค่ะ (สูตรนี้สามารถเทใส่พิมพ์ขนาด 8 นิ้ว ได้ 2 พิมพ์)
7. ยกเข้าเตาอบอุณหภูมิประมาณ 400 - 420 F ประมาณ 15 - 17 นาที เมื่อแป้งเค้กสุกได้ที่ยกออกมาพักไว้ให้อุ่น จึงแซะออกจากพิมพ์ พักไว้

หน้าช็อกโกแลต

ส่วนที่ 1
1. ผงวุ้น 1 ช้อนชา
2. น้ำ 300 กรัม
3. นมข้นจืด 200 กรัม
4. น้ำตาลทราย 200 กรัม
5. โกโก้ 50 กรัม

ส่วนที่ 2
1. แป้งข้าวโพด 40 กรัม
2. นมข้นจืด 150 กรัม

ส่วนที่ 3
1. เนยสด 150 กรัม
2. เหล้ารัม 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
 
1. นำส่วนผสมหน้าช็อกโกแลตส่วนที่ 1 ผสมรวมในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อนคนให้เดือด
2. ผสมส่วนผสมหน้าช็อกโกแลตส่วนที่ 2 ในชาม คนให้ละลายเข้ากัน แล้วเทใส่ลงไปในส่วนผสมข้อที่ 1 คนให้เข้ากัน
3. กวนให้พอข้น ตึงมือ จึงใส่เนยสดและเหล้ารัมลงกวนต่อให้ข้น
4. ยกลง รอให้อุ่นซักนิด แล้วจึงราดลงบนแป้งเค้กค่ะ โดยวางเค้กลงบนตะแกรงรองด้วยถาด ทาไส้หน้าช็อกโกแลตก่อนแล้ววางเค้กอีกชิ้นลงทับ จากนั้นราดหน้าช็อกโกแลตในครั้งเดียวให้ช็อกโกแลตไหลลงกลบทั่วเค้ก กระแทกถาดนิดหน่อยให้หน้าเรียบค่ะ แล้วก็นำไปแช่เย็นให้เซ็ตตัว ก็ตัดเสิร์ฟทานได้แล้วค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ข้าวเหนียวมูน (สูตรคุณชำนาญ)

ข้าวเหนียวมูน (สูตรคุณชำนาญ) ข้าวเม็ดสวย ไม่แฉะ จะราดกะทิทานกับมะม่วงสุก หรือ หน้าสังขยา หน้าปลาก็เข้ากันค่ะ เพิ่มสีสันให้สวยงามด้วยน้ำคั้นสีธรรมชาติก็ได้ง่ายๆ ลองมาทำทานกันค่ะ

ส่วนผสมข้าวเหนียวมูน

1. ข้าวสารข้าวเหนียวเขี้ยวงู 1/2 กิโลกรัม
2. กะทิ 1+1/2 ถ้วย (จากมะพร้าวขูด 1/2 กิโลกรัม เติมน้ำร้อน 1/2 ถ้วย) ถ้าใช้กะทิกล่อง 1 ถ้วย + น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย
3. น้ำตาลทรายขาว 3/4 ถ้วย
4. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
5. น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
6. ใบเตย 3 ใบ
7. สารส้ม 1 ก้อนขนาดพอดีมือ

วิธีทำข้าวเหนียวมูน

1. นำข้าวสารมาเก็บเศษหิน ดิน หรือสิ่งที่เจือปนออกให้สะอาด
2. แล้วนำข้าวสารมาขัดเบาๆมือด้วยสารส้มให้ทั่วถึง โดยมือหนึ่งถือสารส้ม อีกมือกำข้าวมาถูที่สารส้มเบาๆ
3. นำข้าวเหนียวที่ขัดสารส้มแล้วไปล้างน้ำให้สะอาด จนน้ำที่ล้างข้าวใส แล้วเทน้ำแช่ข้าวไว้ 3-4 ชั่วโมง
4. ครบเวลาแช่ข้าว สงข้าวขึ้นจากน้ำใส่กระชอนให้สะเด็ดน้ำ
5. เตรียมซึ่งนึ่งใส่น้ำ ใส่ใบเตยลงไป 3-4 ใบ ต้มให้เดือด ระหว่างรอน้ำเดือด ก็ปูผ้าขาวบางรองนึ่ง แล้วใส่ข้าวเตรียมไว้ ตลบผ้าปิดข้าว นำข้าวเหนียวลงนึ่งประมาณ 40 นาที จนสุก
6. หลังจากนึ่งข้าวเหนียวไปได้ 30 นาที ให้เรามาเตรียมน้ำกะทิที่จะมูนข้าวกันค่ะ โดยเทกะทิ น้ำตาลทราย เกลือ และน้ำมันพืชลงในหม้อ คนให้น้ำตาลละลาย ใส่ใบเตยลงไป นำขึ้นตั้งไฟต้มให้เดือดเล็กน้อย ใช้เวลาในขั้นตอนนี้ประมาณ 10 นาที
7. เมื่อครบ 40 นาที ให้นำข้าวเหนียวเทลงหม้อใบใหญ่ ตามด้วยส่วนผสมของน้ำกะทิร้อนๆ คนให้เข้ากัน ปิดฝาอบไว้ 15 นาที (ถ้าน้ำกะทิเยอะกว่าข้าว อย่าตกใจค่ะ เดี๋ยวข้าวเค้าจะดูดซึมน้ำกะทิเข้าไปเอง)
8. ครบ 15 นาที เปิดฝาหม้อ ตลบข้าวด้านล่างขึ้นมา คนให้ทั่ว ปิดฝาอบไว้อีก 10 นาทีค่ะ
9. เสร็จเรียบร้อยก็ตักเสิร์ฟ จัดจาน ทานกับมะม่วงสุก หน้าสังขยา หน้าปาก หรืออื่นๆได้ตามชอบเลยค่ะ

เคล็ดลับในการมูนข้าวเหนียว
  • ต้องมูนขณะที่ข้าวนึ่งและน้ำกะทิทั้งสองอย่างยังร้อนๆอยู่ จึงจะดีทำให้ข้าวเหนียวมูนออกมาเงาสวย
ถ้าจะทำข้าวเหนียวมูนหลากสี เราแนะนำให้ใช้น้ำคั้นสีธรรมชาติค่ะ ซึ่งน้ำสีจะใส่ไม่เยอะ แล้วแต่เราว่าอยากได้สีเข้มอ่อนขนาดไหนค่ะ
  • สีแดง จากบีทรูท
  • สีเขียว จากใบเตย
  • สีม่วง จากดอกอัญชัญ
  • สีเหลือง จากขมิ้นหรือฟักทอง
  • สีส้ม จากแครอท
วิธีทำก็ง่ายๆ นำใบเตยมาปั่นน้ำแบบเข้มข้น โดยให้หั่นใบเตยเป็นชิ้นเล็กปั่นน้ำเปล่า แล้วเอาน้ำที่ปั่นได้มาปั่นกับใบเตยชุดใหม่ ทำแบบนี้ จนได้สีเข้มที่เราต้องการค่ะ แล้วแบ่งข้าวเหนียวนึ่งมามูนกับน้ำกะทิที่ผสมน้ำสีไว้แล้วค่ะ อย่าลืมนะคะต้องมูนตอนข้าวและกะทิร้อนๆค่ะ

ส่วนผสมและวิธีทำน้ำกะทิราด

1. หัวกะทิ 2 ถ้วย
2. หางกะทิ 1/2 ถ้วย
3. เกลือ 1 ช้อนชา
4. แป้งข้าวจ้าวละลายน้ำไว้

นำหัวกะทิ+ หางกะทิ ตั้งไฟ พออุ่นใส่เกลือ พอเดือดเป็นฟองเล็กๆ ให้ใส่แป้งข้าวจ้าวที่ละลายไว้ลงไป คนตลอดอย่าหยุดมือ พอข้นขึ้น ปิดไฟ ยกลง

..............................................................................................

สูตรหน้าสังขยา (คุณชำนาญ)

1. ไข่เป็ด 5 ฟอง
2. ใบเตย 3-4 ใบ
3. น้ำตาลปี๊บ 250 กรัม
4. น้ำตาลไม่ฟอกสี 150 กรัม
5. กะทิ 500 กรัม
6. เกลือ 1 ช้อนชา

วิธีทำ

1. ขยำไข่เป็ดในชามกับใบเตยให้ไข่ขึ้นฟู
2. จากนั้นเติมเกลือ น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย และกะทิลงไป ขยำส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันจนน้ำตาลปี๊บละลาย
3. นำส่วนผสมที่ขยำแล้วกรองด้วยกระชอนตาถี่ เทใส่ถ้วยพร้อมสำหรับการนึ่ง
4. เตรียมซึ่งนึ่งและใส่น้ำต้มให้เดือด นำสังขยาลงนึ่งประมาณ 30 นาทีจนสุก
5. จัดเสริฟ์โดยตักวางบนข้าวเหนียวมูนที่ทำไว้

..............................................................................................

สูตรหน้าปลา (คุณชำนาญ)

1. ปลาช่อนทะเลแห้ง (แบบไม่เค็ม) 4 ตัว (เลือกที่ไม่มีกลิ่นคาว เพราะจะทำให้เสียรสชาติ)
2. หอมเจียว 1 ถ้วยตวง
3. น้ำมันหอมเจียว 1 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง
5. เกลือ 1/4 ช้อนชา (ลดเพิ่มได้ตามความเค็มของปลา แนะนำใส่เกลือหลังสุดและชิมก่อนใส่)

วิธีทำ

1. นำปลาช่อนทะเลแห้งที่ได้มาล้างน้ำทำความสะอาด ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ
2. นำปลาไปย่างจนกรอบ แล้วนำไปโขลกจนเนื้อละเอียดฟูคล้ายหมูหยอง
3. ตั้งกระทะใส่น้ำมันหอมเจียว ใส่เนื้อปลาโขลกลงผัดไฟอ่อนๆให้แห้ง พอแห้งกรอบ ใส่น้ำตาลลงผัดให้เข้ากัน ชิมให้ได้รสหวานเค็ม (ถ้าไม่เค็ม เติมเกลือได้เล็กน้อย หรือไม่เติม เพราะเนื้อปลาจะมีรสเค็ม) โรยด้วยหอมเจียว เสิร์ฟเป็นหน้าข้าวเหนียวมูน

ขนมหยกมณี

ขนมหยกมณี

ส่วนผสมขนมหยกมณี

1. สาคูตราปลามังกร (เม็ดเล็ก) 125 กรัม
2. น้ำตาลทราย 125 กรัม
3. เผือกหั่นเต๋า 1/2 ทัพพี
4. แห้วต้มสุกหั่นเต๋า 1/2 ทัพพี
5. ฟักทองหั่นเต๋า 1/2 ทัพพี
6. มะพร้าวอ่อนหั่นเต๋า 1/2 ทัพพี
7. ข้าวโพดซอย 1/2 ทัพพี
8. ลูกเดือยต้มสุก 1/2 ทัพพี
9. น้ำสีจากธรรมชาติอย่างละ 1+1/2 ถ้วยตวง
  • เขียวใบเตย
  • เหลืองฟักทอง
  • แดงบีทรูท
  • น้ำเงินอัญชัน
10. มะพร้าวทึนทึกขูดเส้น
11. เกลือนิดหน่อย

วิธีทำขนมหยกมณี

1. นำสาคูมาแช่น้ำ 15 นาที สงใส่กระชอนให้สะเด็ดน้ำ
2. นำเผือก แห้วต้มสุก ฟักทอง และเนื้อมะพร้าวอ่อนมาหั่นเต๋า รอไว้ ส่วนข้าวโพดให้ซอย ลูกเดือยก็ต้มให้สุกนิ่ม พักรอไว้เช่นกันค่ะ
3. คั้นน้ำสีจากธรรมชาติดังนี้ค่ะ เขียวใบเตย เหลืองฟักทอง แดงบีทรูท และน้ำเงินอัญชัน เตรียมไว้ค่ะ
4. แบ่งสาคูตามจำนวนน้ำสีค่ะ (ในสูตรนี้ 4 สี ก็แบ่ง 4 ส่วนค่ะ)
5. ตั้งกระทะเทปล่อน ใส่น้ำสีและเครื่องทั้งหมดลงไปเคี่ยวจนเดือด เมื่อเครื่องเกือบสุก ใส่สาคูลงกวนจนสาคูมีตากบนิดหน่อย ใส่น้ำตาลทรายกวนต่อจนหนืด แต่ไม่ติดกระทะ ยกขนมขึ้นมาได้ทั้งก้อนไม่ย้อยลงกระทะ ก็แปลว่ากวนได้ที่แล้ว นำมาเทใส่ถาด เกลี่ยให้ทั่วถาด (กวนไปทีละสี จนครบค่ะ)
6. นำมะพร้าวทึนทึกขูดเส้นไปนึ่ง 10 นาที เทใส่ถาดให้เย็น คลุกเกลือนิดหน่อย ใช้ช้อนกินข้าวแบบสั้น ตักตัวขนมขนาดพอดีคำมาคลุกมะพร้าว ก็พร้อมทานแล้วค่ะ

ขนมถ้วยฟู

ขนมถ้วยฟู

ส่วนผสมขนมถ้วยฟู

1. แป้งข้าวเจ้า 350 กรัม
2. น้ำตาลทราย 250 กรัม
3. ข้าวหอมมะลินึ่งสุก 250 กรัม
4. น้ำเปล่า 450 กรัม
5. ยีสต์ 1 ช้อนชา
6. ผงฟู 2 ช้อนชา
7. กลิ่นมะลิ
8. สีผสมอาหารตามชอบ

วิธีทำขนมถ้วยฟู

1. แบ่งน้ำเปล่ามาปั่นกับข้าวหอมมะลินึ่งสุกให้ละเอียด
2. ร่อนแป้งข้าวเจ้า 1 ครั้ง แล้วนำแป้งมาผสมกับน้ำตาลทราย ค่อยๆใส่น้ำนวดแป้งให้เนื้อเนียน
3. ผสมข้าวที่ปั่นละเอียดลงในแป้งที่นวดไว้ คนให้เข้ากัน
4. กรองแป้งที่ผสมแล้วด้วยกระชอนตาถี่ ใช้พายยางคนช่วยจะง่ายและเร็วขึ้นค่ะ
5. ใส่ยีสต์และผงฟูลงในแป้งที่กรองแล้ว คนให้เข้ากัน ปิดด้วยแร๊ปพลาสติก พักแป้งให้ขึ้นฟูเป็น 2 เท่าประมาณ 1.30 ชั่วโมง
6. คนแป้งให้เนียน ใส่กลิ่นมะลิ และแบ่งใส่สีตามชอบ
7. ใส่น้ำลงไป 3/4 ของลังถึง ต้มให้น้ำเดือดด้วยไฟแรง คนแป้งให้เนียนก่อนหยอด แล้วตักหยอดให้เต็มถ้วยตะไล นึ่งไฟแรง 15 นาที (สูตรนี้ไม่ต้องนึ่งถ้วยให้ร้อนก่อนค่ะ) เท่านี้เราก็จะได้ขนมถ้วยฟูสีสวย นุ่มๆไว้ทานแล้วค่ะ หรือจะทำขายก็ได้ไม่ว่ากันนะคะ

หมูสามชั้นทอดกรอบ

หมูสามชั้นทอดกรอบ จิ้มกับน้ำจิ้มแจ่วแซ่บๆอร่อยมากเลยค่ะ ไม่ได้โม้นะ ต้องลองทำทานดูค่า

ส่วนผสมหมูสามชั้นทอดกรอบ

1. เนื้อหมูสามชั้น 500 กรัม
2. กระเทียมสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
3. พริกไทยขาวป่น 1 ช้อนชา
4. ซีอิ๊วขาวเห็ดหอม 1 ช้อนโต๊ะ
5. ซอสหอยนางรม 1/2 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำปลา 1/2 ช้อนโต๊ะ
7. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
8. แป้งทอดกรอบ 3 ช้อนโต๊ะ
9. น้ำเย็น 3 ช้อนโต๊ะ
10. งาขาว 1-2 ช้อนโต๊ะ
11. น้ำมันพืชสำหรับทอด

วิธีทำหมูสามชั้นทอดกรอบ

1. แล่เนื้อหมูเป็นชิ้นหนาประมาณ 2 ซม. (จะแล่หนังหรือไม่ก็ได้ค่ะ แต่เราแล่หนังออกค่ะ) จากนั้นนำไปหมักกับกระเทียมสับละเอียด พริกไทยขาวป่น ซีอิ๊วขาวเห็ดหอม ซอสหอยนางรม น้ำปลา น้ำตาลทราย และงาขาว พักไว้ในตู้เย็นอย่างต่ำ 30 นาที
2. นำเนื้อหมูออกจากตู้เย็นให้คลายความเย็นซักครู่ จากนั้นใส่แป้งทอดกรอบและน้ำเย็นลงไป เคล้าให้เข้ากันดี กะปริมาณผสมให้แป้งติดชิ้นหมูไม่หนามาก (ปริมาณแป้งทอดกรอบและน้ำเย็น สามารถปรับลดได้ตามชอบค่ะ)
3. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืช (กะพอท่วมชิ้นหมู) ใช้ไฟกลาง รอจนน้ำมันร้อนจัด (ทดสอบได้โดยการใส่แป้งที่ผสมไว้ลงไปนิดหน่อย ถ้าลอยขึ้นทันทีก็ใช้ได้ค่ะ) หย่อนเนื้อหมูลงไปทอด ลดไฟลงนิดหน่อย ทอดจนสุกเหลืองสวยทั้งสองด้าน จากนั้นเร่งไฟขึ้น ทอดต่ออีกประมาณ 10 วินาที ตักขึ้นใส่กระชอน พักให้สะเด็ดน้ำมัน ก็นำมาหั่นใส่จาน ยกเสิร์ฟทานพร้อมน้ำจิ้มแจ่วได้เลยค่ะ

น้ำจิ้มแจ่ว

1. ซอสแม๊กกี้ 1 ช้อนโต๊ะ
2. น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
3. น้ำมะขามเปียก 1 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำมะนาว 1/2 ช้อนโต๊ะ
5. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
6. กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
7. หอมแดงซอย 1 ช้อนโต๊ะ
8. พริกป่น ปริมาณตามชอบ
9. ต้นหอมซอย
10. ข้าวคั่ว

ผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันง่ายๆเท่านี้ เราก็จะได้น้ำจิ้มแจ่วแซ่บๆไว้ทานแล้วค่ะ

พายมะพร้าวอ่อน

พายมะพร้าวอ่อน

ส่วนผสมพายมะพร้าวอ่อน

แป้งพาย

1. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 400 กรัม
2. เกลือ 1 ช้อนชา
3. น้ำตาลไอซิ่ง 15 กรัม
4. เนยสดจืด 60 กรัม
5. เนยขาว 70 กรัม
6. ไข่แดง 2 ฟอง
7. น้ำเย็น 1/4 ถ้วย
8. น้ำส้มสายชู 1 ช้อนชา

ไส้มะพร้าวอ่อน

1. น้ำมะพร้าว (ส่วนที่ 1) 1/2 ถ้วย
2. น้ำมะพร้าว (ส่วนที่ 2) 1+1/2 ถ้วย
3. แป้งข้าวโพด 1/4 ถ้วย
4. เนื้อมะพร้าว (ไม่อ่อนมากไม่แข็งมาก) 400 กรัม
5. นมข้นจืด 1/4 ถ้วย
6. นมข้นหวาน 1/3 ถ้วย
7. น้ำตาลทรายขาว 1/4 ถ้วย (หรือเพิ่มได้ลดได้แล้วแต่ชอบ)
8. เกลือ 1/4 ช้อนชา

วิธีทำพายมะพร้าวอ่อน
 
แป้งพาย

1. ร่วนแป้งสาลีอเนกประสงค์รวมกับเกลือ และคนให้เข้ากัน
2. ใส่น้ำตาลไอซิ่งและเนยจืดเนยขาวลงไป ใช้มือคลุกให้เข้ากันเป็นเม็ดทรายอ่อนๆ
3. ผสมไข่แดง น้ำเย็น และน้ำส้มสายชูให้เข้ากัน แล้วค่อยๆเทใส่แป้งที่ผสมไว้ทีละนิด อย่าใส่ทีเดียวหมด
4. คลุกให้เข้ากันเป็นก้อนเดียว อย่านวดนะคะ ถ้าแห้งไปก็เติมน้ำทีละนิดเดียวพอค่ะ
5. ใช้พลาสติกแร็ปไว้และพักแป้งไว้ในตู้เย็น 1 ชั่วโมง
6. นำแป้งออกมานวดๆนิดเดียว ให้แบ่งแป้งเป็น 2 ส่วนไว้ ส่วนแรกไว้เป็นฐานข้างล่างและข้างๆ ส่วนที่ 2 ไว้คลุมหน้าไส้หรือปิดหน้าขนม (ส่วนที่ 2 แบ่งให้น้อยกว่าส่วนแรกนะคะ เพราะไว้แค่คลุม)
7. คลึงแป้งให้เป็นแผ่นบางๆ แล้ววางลงพิมพ์ตามใจชอบหรือตามแบบพิมพ์

ไส้มะพร้าวอ่อน

1. นำน้ำมะพร้าวส่วนที่ 1 มาผสมกับแป้งข้าวโพดไว้
2. แล้วนำน้ำมะพร้าวส่วนที่ 2 มาต้ม ใส่เนื้อมะพร้าว นมข้นจืด นมข้นหวาน น้ำตาลทรายขาว และเกลือลงคนให้เข้ากัน ชิมรสชาติให้ได้ตามชอบ
3. ใส่น้ำมะพร้าวที่ผสมกับแป้งข้าวโพดลงไปแล้วคนเร็วๆ พอแป้งขึ้นได้ที่แล้วยกออกจากเตา พักไว้ให้เย็นสนิท (หรือใส่ตู้เย็นไว้)
4. จากนั้นเทไส้มะพร้าวอ่อนลงลงตัวแป้งพายเลยค่ะ แล้วค่อยๆวางแป้งปิดหน้า ใช้ส้อมกดขอบๆให้ปิดติดกัน แล้วใช้มีดกีดหน้าให้ระบายความร้อนตอนอบหน่อย จากนั้นทาด้วยไข่แดงที่หน้าขนม
5. นำเข้าอบ 230 °C ไฟบนล่าง 30 นาที และลดเหลือ 180 °C  ไฟล่างอย่างเดียวอีก 30 นาที สุกแล้วรอเย็นก่อน ก็ตัดเป็นชิ้นเสิร์ฟได้เลยค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ทอดมันปลากราย

ทอดมันปลากราย

ส่วนผสมทอดมันปลากราย

1. เนื้อปลากรายขูด
2. พริกแกงเผ็ด (พริกแห้ง + หอมแดง + กระเทียม + ข่า + ตะไคร้ + ผิวมะกรูด + กะปิ ตำรวมกัน)
3. ไข่ไก่
4. ถั่วพู หรือ ถั่วฝักยาว
5. ใบมะกรูดซอย
6. น้ำปลา
7. น้ำตาลปี๊บ
8. น้ำมันสำหรับทอด

วิธีทำทอดมันปลากราย

1. นำเนื้อปลากรายขูดมานวด (หรือใส่ครกตำก็ได้) นวดให้เนื้อปลาเหนียวที่สุด จากนั้นใส่พริกแกงเผ็ด ไข่ไก่ ถั่วพูซอย (หรือถั่วฝักยาว) ใบมะกรูดซอยลงไป ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาลปี๊บลงนวดคลุกเคล้าให้เข้ากัน
2. เมื่อนวดคลุกเข้ากันดีแล้ว จึงนำไปทอดในน้ำมันที่ร้อนปานกลาง ใช้มือปั้นเนื้อทอดมันเป็นกลมก่อน แล้วกดให้แบนลง จึงหย่อนลงทอดให้น้ำมัน
3. ทอดให้สุกทั้งด้าน ตักสะเด็ดน้ำมันเรียงใส่จานก็รับประทานได้แล้วค่ะ

ผัดคะน้าปลาเค็ม

ผัดคะน้าปลาเค็ม ทานกับข้าวต้มร้อนหรือข้าวสวยร้อนๆก็อร่อยค่ะ

ส่วนผสมผัดคะน้าปลาเค็ม

1. ผักคะน้า (ตัดโคนแข็งๆทิ้ง ล้างสะอาด หั่นพอคำ)
2. ปลาอินทรีเค็มทอด บิเอาแต่เนื้อ
3. กระเทียมไทยปอกเปลือก สับ
4. พริกขี้หนูทุบ
5. น้ำตาลทราย
6. เต้าเจี้ยวนิดหน่อย
7. ซีอิ๊วขาว
8. น้ำมันพืช
9. น้ำสะอาด
10. เกลือเม็ด

วิธีทำผัดคะน้าปลาเค็ม

1. ตั้งหม้อใส่น้ำสะอาด เกลือเม็ด และน้ำมันที่เหลือจากทอดปลาลงไป เร่งไฟให้น้ำเดือดพล่าน นำผักคะน้าลงลวกประมาณ 1/2 นาที ตักขึ้น แช่น้ำเย็น
2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย นำพริกขี้หนูทุบและกระเทียมสับลงไปผัดให้สุกหอม ใส่ปลาเค็มบิเอาแต่เนื้อลงผัดเบามือ
3. ปรุงรสน้ำตาลทราย เต้าเจี้ยวนิดหน่อย และซีอิ๊วขาวลงผัดเคล้าเบามือ เร่งไฟ นำผักคะน้าลวกใส่ผัดให้เข้ากัน ปิดไฟ ตักใส่จาน ทานได้เลย

คะน้าฮ่องกงผัดน้ำมันเห็ดหอม (เจ)

คะน้าฮ่องกงผัดน้ำมันเห็ดหอม (เจ)

ส่วนผสมคะน้าฮ่องกงผัดน้ำมันเห็ดหอม

1. คะน้าฮ่องกง 2 ถุง
2. เห็ดหอมแห้งแช่น้ำ 5-6 ดอก
3. น้ำมันเห็ดหอม 3 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
5. งาขาวคั่ว
6. น้ำต้มสุก

วิธีทำคะน้าฮ่องกงผัดน้ำมันเห็ดหอม

1. ตั้งน้ำร้อนให้เดือด ใส่คะน้าฮ่องกงลงลวก แล้วตักขึ้นน็อคด้วยน้ำแข็งให้คะน้าสีเขียวสดและดูหน้ากิน
2. นำกระทะมาตั้งไฟให้ร้อน ใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อย นำเห็ดหอมที่แช่น้ำไว้บีบน้ำออกให้หมด ใส่ลงผัดในกระทะ แล้วใส่ซอสน้ำมันเห็ดหอมลงไปคนให้เข้ากัน
3. ใส่คะน้าที่น็อคน้ำแข็งลงไป ต้องบีบน้ำออกจากใบคะน้าให้หมด จากนั้นปรุงรสน้ำตาลทราย เติมน้ำต้มสุกลงไปผัดให้เข้ากัน ตักใส่จาน ตกแต่งด้วยงาขาวคั่ว เป็นอันเสร็จพร้อมเสิร์ฟค่ะ

ปลากระบอกทอดขมิ้น

ปลากระบอกทอดขมิ้น

ส่วนผสมปลากระบอกทอดขมิ้น

1. ปลากระบอก (ขอดเกล็ดควักไส้ทิ้ง ล้างสะอาด บั้ง ซับแห้ง)
2. กระเทียมไทยทั้งเปลือก
3. ขมิ้นแกงขูดเปลือก
4. เกลือป่น
5. น้ำมันพืช
6. น้ำปลาพริก
7. ผักตามชอบ

วิธีทำปลากระบอกทอดขมิ้น

1. โขลกกระเทียมไทยและขมิ้นแบบหยาบๆ เเล้วคั้นน้ำขมิ้นกระเทียมจากที่โขลกมาลูบผิวปลา เคล้าเกลือป่น หมักไว้ 30 นาที
2. ตั้งกระทะให้ร้อนจัด ใส่น้ำมันพืช เมื่อน้ำมันร้อนจัด หย่อนปลาลงทอด ปรับเป็นไฟกลาง ทอดจนสุกเหลือง เร่งไฟ แล้วตักสะเด็ดน้ำมัน
3. ใส่กระเทียมและขมิ้นที่โขลกลงทอดให้สุก กะแค่พอกรอบนิดๆ เมื่อได้ที่ช้อนขึ้น
4. จัดปลาใส่จาน โรยกระเทียมขมิ้นเจียว รับประทานกับผักสดและน้ำปลาพริก

แกงคั่วสับปะรดหอยแมลงภู่

แกงคั่วสับปะรดหอยแมลงภู่

ส่วนผสมแกงคั่วสับปะรดหอยแมลงภู่

1. สับปะรดหั่นชิ้น
2. หอยแมลงภู่ต้ม
3. พริกแกงคั่ว (พริกแห้ง + ตะไคร้ + ข่า + ผิวมะกรูด + หอมแดง + กระเทียม + เกลือ + กะปิ)
4. กุ้งแห้งโขลกไม่ต้องละเอียดมาก
5. หัวกะทิ 2 ส่วน
6. หางกะทิ 1 ส่วน
7. ใบมะกรูดฉีก
8. พริกสด
9. น้ำมะกรูดหรือน้ำมะขามเปียก
10. น้ำตาลมะพร้าว
11. น้ำปลา

วิธีทำแกงคั่วสับปะรดหอยแมลงภู่

1. ตั้งกระทะใส่หัวกะทิลงไป 3 ทัพพี นำพริกแกงคั่วลงผัดให้หอมและแตกมันเล็กน้อย ใส่หางกะทิลงไปต้มให้เดือด
2. พอเดือดใส่สับปะรดหั่นชิ้นและกุ้งแห้งโขลกไม่ต้องละเอียดมากลงไป ปรุงรสด้วยน้ำตาลมะพร้าวและน้ำปลา เคี่ยวซักพัก ค่อยเติมหัวกะทิลงไป
3. รอให้เดือดอีกครั้งใส่หอยแมลงภู่ต้ม ใส่น้ำมะกรูด (หรือน้ำมะขามเปียก) ใบมะกรูดฉีก และพริกสด คนให้เข้ากัน รอให้เดือดครั้งสุดท้าย ปิดเตา ยกลง ตักใส่ชามทานกับข้าวสวยร้อนๆได้เลยค่ะ

แกงเผ็ดเป็ดย่าง

แกงเผ็ดเป็ดย่าง

ส่วนผสมแกงเผ็ดเป็ดย่าง

1. เป็ดย่างเลาะกระดูกสับพอคำ 1/2 ตัว
2. พริกแกงแดง 1 ช้อนโต๊ะ
3. พริกแกงพะแนง 1 ช้อนโต๊ะ
4. กะทิแยกหัวและหาง 1/2 กิโลกรัม
5. สับปะรดหั่นเป็นชิ้นพอคำ 1/2 ถ้วย
6. มะเขือเทศ 1/2 ถ้วย
7. องุ่นแดง 1/2 ถ้วย
8. มะเขือพวง 1/2 ถ้วย
9. ใบมะกรูดฉีก
10. โหระพาเด็ดเล็กน้อย
11. น้ำตาลปี๊บ
12. น้ำปลา

วิธีทำแกงเผ็ดเป็ดย่าง

1. เคี่ยวหางกะทิกับกระดูกเป็ดด้วยไฟอ่อนไปเรื่อยๆประมาณ 1 ชั่วโมง กรองน้ำซุป พักไว้
2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันเล็กน้อยใส่พริกแกงพะแนงและพริกแกงแดงลงผัดกับหัวกะทิจนแตกมันและหอม
3. เติมน้ำซุปที่กรองลงไป รอจนเดือด
4. ใส่สับปะรดหั่นเป็นชิ้นพอคำ มะเขือเทศ องุ่นแดง และมะเขือพวงลงไป ปิดฝาหม้อ รอให้เดือด
5. ใส่เนื้อเป็ดย่างสับลงไป คนให้เข้ากัน ชิมก่อนปรุงรส เพราะความหวานของผลไม้ไม่แน่นอน แล้วจึงปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บและน้ำปลาให้มีรสหวานนำเค็มเพียงเล็กน้อย ปิดฝา รอให้เดือดอีกครั้ง
6. สุดท้ายใส่ใบมะกรูดฉีกและใบโหระพาเด็ดลงไป ปิดไฟเตา ตักใส่ชาม ทานกับข้าวสวยร้อนๆได้แล้วค่า

ขนมปังกรอบเคลือบคาราเมล

ขนมปังกรอบเคลือบคาราเมล

ส่วนผสมขนมปังกรอบเคลือบคาราเมล

1. ขนมปัง 15 แผ่น (นำไปแช่เย็นแล้ว แล้วหั่นเต๋า)
2. น้ำตาลทรายไม่ฟอกสี 130 กรัม
3. เนยเค็ม 110 กรัม
4. นมจืด 50 มล
5. เกลือทะเล 1/4 ช้อนชา
6. น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำขนมปังกรอบเคลือบคาราเมล

สำหรับผู้ที่ใช้เตาอบ (วิธีนี้จะกรอบฟูมาก)

1. วอร์มเตาอบไว้ที่ 150 ํC ไฟบนล่าง เตรียมไว้
2. นำขนมปังแผ่นที่แช่เย็นจนแข็งแล้วมาหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าด้านละ 6 x 6 ของแผ่น แล้วนำเข้าอบให้กรอบ 10 นาที แล้วยกออกมาพักไว้ให้เย็น
3. ใส่น้ำตาลทรายไม่ฟอกสี เนยเค็ม นมจืด เกลือทะเล และน้ำผึ้งลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวไฟอ่อนเรื่อยๆ จนมีลักษณะความข้นคล้ายนมข้นหวานและมีสีสวย ชิมรสชาติหวานๆเค็มๆตามชอบนะคะ เมื่อได้ซอสคาราเมลแล้ว ให้ยกลงพักให้อุ่นๆค่อนไปทางเย็นค่ะ
4. นำขนมปังที่พักไว้ใส่ลงชามใหญ่ๆหน่อยค่ะ แบ่งซอสคาราเมลที่อุ่นๆค่อนไปทางเย็นออกเป็น 3 ส่วนใส่ส่วนแรกลงไปคลุกให้เข้ากันอย่างเบามือ ใส่ส่วนที่สองลงต่อคลุกให้เข้ากัน และส่วนที่สามลงตามคลุกให้เข้ากันอย่างเบามือเช่นกันค่ะ (ถ้าจะใส่ธัญพืช ลูกเกด งาคั่ว แนะนำให้ใส่ในขั้นตอนนี้นะคะ) แล้วนำมาเทกระจายตัวในถาด
5. ให้นำเข้าอบอีกครั้งที่ความร้อน 150  ํC ไฟบนล่าง 10 นาที เพื่อความกรอบยิ่งขึ้น
6. เมื่อครบเวลานำมากระจายบนถาด รอให้เย็น ก็เก็บใส่กล่องที่มิดชิดไว้ทานเล่นหรือขายได้เลยค่ะ

สำหรับผู้ที่ไมโครเวฟ (วิธีนี้ขนมจะกรอบหนึบๆ เพราะน้ำผึ้งนะคะ ถ้าไม่มีน้ำผึ้งจะกรอบแห้ง)

1. นำขนมปังแผ่นที่แช่เย็นจนแข็งแล้วมาหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าด้านละ 6 x 6 ของแผ่น แล้วนำเข้าเวฟไฟแรงสุด 2 นาที (ถ้าเยอะเกินให้ทยอยแบ่งเข้าเวฟจะได้กรอบทั่วถึงค่ะ) แล้วยกออกมาพักไว้ให้เย็น3. ใส่น้ำตาลทรายไม่ฟอกสี เนยเค็ม นมจืด เกลือทะเล และน้ำผึ้งลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวไฟอ่อนเรื่อยๆ จนมีลักษณะความข้นคล้ายนมข้นหวานและมีสีสวย ชิมรสชาติหวานๆเค็มๆตามชอบนะคะ เมื่อได้ซอสคาราเมลแล้ว ให้ยกลงพักให้อุ่นๆค่อนไปทางเย็นค่ะ
4. นำขนมปังที่พักไว้ใส่ลงชามใหญ่ๆหน่อยค่ะ แบ่งซอสคาราเมลที่อุ่นๆค่อนไปทางเย็นออกเป็น 3 ส่วนใส่ส่วนแรกลงไปคลุกให้เข้ากันอย่างเบามือ ใส่ส่วนที่สองลงต่อคลุกให้เข้ากัน และส่วนที่สามลงตามคลุกให้เข้ากันอย่างเบามือเช่นกันค่ะ (ถ้าจะใส่ธัญพืช ลูกเกด งาคั่ว แนะนำให้ใส่ในขั้นตอนนี้นะคะ) แล้วนำมาเทกระจายตัวในถาด
5. ให้แบ่งเข้าเวฟไฟสูงสุด 1.50 นาที แล้วนำออกมาคนกลับด้าน เข้าเวฟต่ออีก 1.50 นาที เสร็จแล้วยกออกมากระจายๆบนถาด ตอนแรกจะเหนียวๆหน่อย พอแห้งจะกรอบขึ้นค่ะ
6. รอให้เย็น จัดเก็บใส่กล่องที่มิดชิดไว้ทานเล่นหรือขายได้เลยค่ะ

หมายเหตุ
 
ถ้าอยากเปลี่ยนรสชาติเป็นโกโก้ โอวัลติน กาแฟ ให้ใส่ตอนที่ซอสคาราเมลใกล้ได้ที่นะคะ โดยวิธีร่อนเป็นผงๆลงไป อย่าเทเป็นช้อนนะคะ มันจะเป็นเม็ดๆ (รสโกโก้และกาแฟใส่ประมาณ 1/2 ช้อนโต๊ะ และโอวัลติน 1 ช้อนโต๊ะ)

กระทงทองไส้ไก่

กระทงทองไส้ไก่

ส่วนผสมและวิธีทำกระทงทองไส้ไก่

ตัวไส้ไก่

1. เนื้อไก่  500 กรัม
2. เนื้อกุ้ง  500 กรัม
3. พริกไทยเม็ด 20 เม็ด หรือมากน้อยตามชอบ
4. กระเทียมกลีบเล็ก 10 กลีบ
5. ผงกระหรี่  1 ช้อนชา
6. ซีอิ๊วขาว 1-2 ข้อนโต๊ะ
7. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
8. น้ำมันหอย  1 ช้อนโต๊ะ
9. แครอทหั่นเต๋า + ถั่วลันเตา + ข้าวโพด (จะซื้อแบบแช่แข็งในห้างมาใช้ก็ได้นะคะ)

1. ปลอกกระเทียมและเตรียมพริกไทยเม็ดไว้ นำกระเทียมและพริกไทยลงโขลกให้ละเอียด เสร็จแล้วพักไว้
2. สับเนื้อไก่และเนื้อกุ้งทั้งสองจนละเอียดแล้ว พักไว้
3. ตั้งกระทะใส่น้ำมัน นำพริกไทยกับกระเทียมที่โขลกไว้ลงไปผัดให้สีเหลืองนวลๆ
4. ใส่เนื้อไก่สับลงไปผัดก่อน แล้วใช้ตะหลิวยีๆเนื้อไก่ให้กระจาย อย่าให้จับตัวเป็นก้อน เมื่อไก่สุกแล้วเขี่ยไว้ขอบกระทะก่อน แล้วใส่เนื้อกุ้งสับลงไปผัดให้เข้ากันค่ะ ตามด้วยแครอทหั่นเต๋า + ถั่วลันเตา + ข้าวโพด เพื่อสีสันสวยงาม (ที่ซื้อมาแบบสำเร็จรูปแช่แข็ง)
5. ปรุงรสด้วยน้ำมันหอย น้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาว ผงซุปไก่นิดหน่อย และผงกระหรี่ ผัดเคล้าให้เข้ากันจนไส้ไก่มีสีเหลืองนวลๆ ตักขึ้นพักไว้ใส่ลงในกระทงทองค่ะ

แป้งกระทงทอง

1. แป้งสาลี 1 ถ้วย
2. แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
3. น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
4. เกลือป่น 1 ช้อนชา
5. น้ำปูนใส 1 + 1/ 2 ถ้วย
6. น้ำมัน 2 ช้อนโต๊ะ
7. น้ำมันสำหรับทอด

1. ผสมแป้งสาลีและแป้งข้าวเจ้าเข้าด้วยกัน แล้วร่อนแป้งก่อน จากนั้นเติมน้ำตาลทราย เกลือป่น น้ำปูนใส และน้ำมันลงไป ใช้ตะกร้อมือคนหรือใช้มือขยำจนแป้งไม่เป็นเม็ด กรองด้วยกระชอน
2. จากนั้นเทน้ำมันสำหรับทอดใส่กระทะก้นลึกหรือหม้อ กะปริมาณน้ำมันให้พอท่วมพิมพ์ แล้วตั้งไฟ
กลางๆ รอให้น้ำมันร้อนจัดๆ
3. นำพิมพ์กระทงทองจุ่มในน้ำมัน รอจนพิมพ์ร้อนดียกพิมพ์ขึ้นมาให้สะเด็ดน้ำมันออก จากนั้นนำพิมพ์จุ่มพอให้ติดแป้งแต่ภายนอก แล้วยกลงมาจุ่มในน้ำมัน พอแป้งเริ่มอยู่ตัวให้กดก้นพิมพ์ลงก้นหม้อ จะทำให้ก้นกระทงทองแบน แล้วยกขึ้นมาทอดจนเหลือง แป้งจะหลุดออกจากพิมพ์เอง แล้วช้อนขึ้นวางบนกระดาษซับน้ำมัน รอให้เย็น จึงนำไปใส่ไส้ไก่ที่ผัดเตรียมไว้

กระทงทองไส้ไก่ต้องมีน้ำจิ้มอาจาดแตงกวา รสชาติอาจาดหวานๆ เปรี้ยวๆ จะช่วยแก้เลี่ยนได้เป็นอย่างดี เวลาทานค่อยหยอดไส้ลงไป ไม่ควรหยอดไว้ก่อนถ้าไส้ไม่แห้งจะทำให้ตัวกระทงแฉะ จะไม่กรอบค่ะ

ข้าวเหนียวหน้านวล

ข้าวเหนียวหน้านวล สูตรนี้ใช้ถาดพิมพ์ขนาด 8×12 หรือ 10×10 : 1 ถาด (เรื่องความหวาน เค็มของหน้าขนมนั้นสามารถปรับตามชอบได้ค่ะ)

ส่วนผสมข้าวเหนียวหน้านวล
 
ตัวข้าวเหนียว

1. ข้าวเหนียวใหม่ 400 กรัม
2. หางกะทิ 400 กรัม
3. น้ำตาลทราย 1 + 1/2 ช้อนโต๊ะ
4. เกลือ 1/8 ช้อนชา

หน้าขนม

1. หัวกะทิ 400 กรัม
2. น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
4. เกลือ 1/2 ช้อนชา
5. แป้งข้าวเจ้า 1 + 1/2 ช้อนโต๊ะ

ของตกแต่งหน้าขนม พวกถั่วแดงต้มสุก ทองหยอด เป็นต้น

วิธีทำข้าวเหนียวหน้านวล

1. นำล้างข้าวเหนียวให้สะอาด ยกขึ้นสะเด็ดน้ำ แล้วใส่ลงในถาดพิมพ์ขนาด 8×12 หรือ 10×10 ตามชอบ
2. ผสมหางกะทิ น้ำตาลทราย และเกลือให้เข้ากัน เทลงไปในถาดที่ใส่ข้าวเหนียวไว้แล้ว
3. ตั้งน้ำในลังถึงให้เดือด นำขึ้นนึ่งประมาณ 45 นาที (ขนาดถาด 8×12) พอข้าวเหนียวสุก นำลงมาพักให้ข้าวเหนียวเย็น
4. ต่อมาทำหน้าขนมกันค่ะ ใส่หัวกะทิ น้ำตาลทราย และเกลือผสมคนให้เข้ากันในชาม คนให้น้ำตาลทรายและเกลือละลาย จึงใส่แป้งข้าวเจ้าลงคนให้ละลายเข้ากัน
5. เมื่อข้าวเหนียวเย็น ราดหัวกะทิที่ส่วนผสมไว้ลงไป นำขึ้นนึ่งประมาณ 20 นาที
6. เสร็จแล้วยกลง พักให้เย็น แล้วแต่งหน้าด้วยถั่วแดงต้มสุกและทองหยอดตามชอบเลยค่ะ

ขนมเผือก (สูตรป้าหมู)

ขนมเผือก (สูตรป้าหมู)

ส่วนผสมขนมเผือก

1. เผือกนึ่งสุกบดหยาบ 500 กรัม (2+1/2 ถ้วยตวง)
2. หัวกะทิข้นๆ (หรือ กะทิอร่อยดี) 400 กรัม (1+3/4 ถ้วยตวง)
3. น้ำตาลปี๊ปนิ่มเหลว 70 กรัม (3/4 ถ้วยตวง)
4. น้ำตาลทราย 180 กรัม (1+1/2 ถ้วยตวง)
5. เกลือแกงถุงเล็ก 2 ช้อนชา
6. แป้งข้าวเจ้า (ตราช้างสามเศียร) 100 กรัม (1+1/2 ถ้วยตวง)
7. แป้งมัน (ตราปลามังกร) 85 กรัม (1 ถ้วยตวง)
8. แป้งท้าวยายม่อม (ตราปลามังกร) 85  กรัม (1/2+1/4 ถ้วยตวง)
9. มะพร้าวน้ำหอมทึนทึกขูดเส้น / มะพร้าวขูดขาว 70 กรัม (3/4 ถ้วยตวง)
10. มะพร้าวทึนทึกขูดเส้น (สำหรับโรยหน้าขนม)

วิธีทำขนมเผือก

1. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน และแป้งท้าวยายม่อมลงในอ่างผสม ค่อยๆใส่กะทิลงไป 200 กรัม นวดกับแป้งจนแป้งเหนียวจับตัวเป็นก้อน ไม่ติดภาชนะ ถ้าแป้งยังไม่เหนียว ค่อยๆเติมกะทิลงไปอีก
2. นำกะทิที่เหลือทั้งหมด ใส่น้ำตาลปี๊ป น้ำตาลทราย และเกลือแกงลงคนให้น้ำตาลละลายไม่เป็นเม็ด แล้วเทผสมกับแป้งให้เข้ากันดี ถึงตรงนี้เนื้อแป้งจะเหลวค่ะ
3. ใส่เผือกนึ่งสุกบดหยาบลงไปผสมให้เข้ากัน
4. ใส่มะพร้าวทึนทึกขูดเป็นเส้นผสมให้เข้ากัน ตั้งพักไว้ 15 นาที
5. ตักเนื้อขนมใส่ถ้วยตะไล หรือ ถาดทาน้ำมัน โรยหน้าด้วยมะพร้าวทึนทึกขูดเส้น
6. ใส่น้ำลงในลังถึงให้ได้ 3/4 ของหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟแรง พอน้ำเดือด นำขนมขึ้นนึ่งนานประมาณ 18-20 นาที จนสุก เวลาขนมสุกจะมีเนื้อขนมสุกใสค่ะ
7. ตั้งไว้ให้อุ่นถึงเย็น ใช้ปลายช้อนกาแฟค่อยๆแคะจากขอบ วนๆไป จะได้ขอบขนมคม สวย ไม่ยู่ยี่ จึงลงจานหรือบรรจุกล่อง

เคล็ดลับ
  • ใส่ถ้วยตะไลนึ่งประมาณ 15-18 นาที / ถ้านึ่งใส่ถาดนึ่งนานประมาณ 35-40 นาที
  • สูตรนี้ปรับเปลี่ยนวัตถุดิบเป็นเผือก ฟักทอง มันเทศ มันม่วง แตงไทยได้นะคะ แต่ให้ปรับสูตรตามเนื้อวัตถุดิบของเรา เช่น ถ้าเป็นมันม่วงเนื้อจะแห้งกว่าให้เพิ่มกะทิ ถ้าเป็นฟักทองเนื้อเหลวกว่า ถ้าใช้กะทิตามสูตร ควรเพิ่มเนื้่อฟักทองอีก 100-150 กรัม หรือลดกะทิลงค่ะ

ขนมฟักทอง (สูตรป้าหมู)

ขนมฟักทอง (สูตรป้าหมู)

ส่วนผสมขนมฟักทอง

1. เนื้อฟักทองนึ่งสุกบดหยาบ 500 กรัม
  • เนื้อฟักทองนึ่งจะมีความเหลวกว่าเนื้ออื่นๆ ถ้าใช้กะทิตามสูตรนี้ ควรเพิ่มเนื้อฟักทองอีก 100-150 กรัม หรือลดกะทิลงค่ะ
2. หัวกะทิข้นๆ (หรือ กะทิอร่อยดี) 400 กรัม (1+3/4 ถ้วยตวง)
3. น้ำตาลปี๊ปนิ่มเหลว 70 กรัม (3/4 ถ้วยตวง)
4. น้ำตาลทราย 180 กรัม (1+1/2 ถ้วยตวง)
5. เกลือแกงถุงเล็ก 2 ช้อนชา
6. แป้งข้าวเจ้า (ตราช้างสามเศียร) 100 กรัม (1+1/2 ถ้วยตวง)
7. แป้งมัน (ตราปลามังกร) 85 กรัม (1 ถ้วยตวง)
8. แป้งท้าวยายม่อม (ตราปลามังกร) 85  กรัม (1/2+1/4 ถ้วยตวง)
9. มะพร้าวน้ำหอมทึนทึกขูดเส้น / มะพร้าวขูดขาว 70 กรัม (3/4 ถ้วยตวง)
10. มะพร้าวทึนทึกขูดเส้น (สำหรับโรยหน้าขนม)

วิธีทำขนมฟักทอง

1. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน และแป้งท้าวยายม่อมลงในอ่างผสม ค่อยๆใส่กะทิลงไป 200 กรัม นวดกับแป้งจนแป้งเหนียวจับตัวเป็นก้อน ไม่ติดภาชนะ ถ้าแป้งยังไม่เหนียว ค่อยๆเติมกะทิลงไปอีก
2. นำกะทิที่เหลือทั้งหมด ใส่น้ำตาลปี๊ป น้ำตาลทราย และเกลือแกงลงคนให้น้ำตาลละลายไม่เป็นเม็ด แล้วเทผสมกับแป้งให้เข้ากันดี ถึงตรงนี้เนื้อแป้งจะเหลวค่ะ
3. ใส่เนื้อฟักทองนึ่งสุกบดหยาบลงไปผสมให้เข้ากัน
4. ใส่มะพร้าวทึนทึกขูดเป็นเส้นผสมให้เข้ากัน ตั้งพักไว้ 15 นาที
5. ตักเนื้อขนมใส่ถ้วยตะไล หรือ ถาดทาน้ำมัน โรยหน้าด้วยมะพร้าวทึนทึกขูดเส้น
6. ใส่น้ำลงในลังถึงให้ได้ 3/4 ของหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟแรง พอน้ำเดือด นำขนมขึ้นนึ่งนานประมาณ 18-20 นาที จนสุก เวลาขนมสุกจะมีเนื้อขนมสุกใสค่ะ
7. ตั้งไว้ให้อุ่นถึงเย็น ใช้ปลายช้อนกาแฟค่อยๆแคะจากขอบ วนๆไป จะได้ขอบขนมคม สวย ไม่ยู่ยี่ จึงลงจานหรือบรรจุกล่อง

เคล็ดลับ

  • ใส่ถ้วยตะไลนึ่งประมาณ 15-18 นาที / ถ้านึ่งใส่ถาดนึ่งนานประมาณ 35-40 นาที
  • สูตรนี้ปรับเปลี่ยนวัตถุดิบเป็นเผือก ฟักทอง มันเทศ มันม่วง แตงไทยได้นะคะ แต่ให้ปรับสูตรตามเนื้อวัตถุดิบของเรา ถ้าเป็นมันม่วงเนื้อจะแห้งกว่าให้เพิ่มกะทิ ถ้าเป็นฟักทองเนื้อเหลวกว่า ถ้าใช้กะทิตามสูตร ควรเพิ่มเนื้่อฟักทองอีก 100-150 กรัม หรือลดกะทิลงค่ะ

ขนมกล้วย (สูตรป้าหมู)

ขนมกล้วย (สูตรป้าหมู)

ส่วนผสมขนมกล้วย

1. กล้วยน้ำว้าสุกงอมมากๆ บดหยาบๆ 500 กรัม (2+1/2 ถ้วยตวง)
2. หัวกะทิข้นๆ (หรือ กะทิอร่อยดี) 400 กรัม (1+3/4 ถ้วยตวง)
3. น้ำตาลปี๊ปนิ่มเหลว 70 กรัม (3/4 ถ้วยตวง)
4. น้ำตาลทราย 180 กรัม (1+1/2 ถ้วยตวง)
5. เกลือแกงถุงเล็ก 2 ช้อนชา
6. แป้งข้าวเจ้า (ตราช้างสามเศียร) 100 กรัม (1+1/2 ถ้วยตวง)
7. แป้งมัน (ตราปลามังกร) 85 กรัม (1 ถ้วยตวง)
8. แป้งท้าวยายม่อม (ตราปลามังกร) 85  กรัม (1/2+1/4 ถ้วยตวง)
9. มะพร้าวน้ำหอมทึนทึกขูดเส้น / มะพร้าวขูดขาว 70 กรัม (3/4 ถ้วยตวง)
10. มะพร้าวทึนทึกขูดเส้น (สำหรับโรยหน้าขนม)

วิธีทำขนมกล้วย

1. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน และแป้งท้าวยายม่อมลงในอ่างผสม ค่อยๆใส่กะทิลงไป 200 กรัม นวดกับแป้งจนแป้งเหนียวจับตัวเป็นก้อน ไม่ติดภาชนะ ถ้าแป้งยังไม่เหนียว ค่อยๆเติมกะทิลงไปอีก
2. นำกะทิที่เหลือทั้งหมด ใส่น้ำตาลปี๊ป น้ำตาลทราย และเกลือแกงลงคนให้น้ำตาลละลายไม่เป็นเม็ด แล้วเทผสมกับแป้งให้เข้ากันดี ถึงตรงนี้เนื้อแป้งจะเหลวค่ะ
3. ใส่กล้วยน้ำว้าสุกงอมมากๆที่บดหยาบๆลงไปผสมให้เข้ากัน อย่าลืมเหลือเนื้อกล้วยเป็นชิ้นเล็กๆไว้วางบนหน้าขนมบ้างนะคะ
4. ใส่มะพร้าวทึนทึกขูดเป็นเส้นผสมให้เข้ากัน ตั้งพักไว้ 15 นาที
5. ตักเนื้อขนมใส่ถ้วยตะไล หรือ ถาดทาน้ำมัน โรยหน้าด้วยมะพร้าวทึนทึกขูดเส้น
6. ใส่น้ำลงในลังถึงให้ได้ 3/4 ของหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟแรง พอน้ำเดือด นำขนมขึ้นนึ่งนานประมาณ 18-20 นาที จนสุก เวลาขนมสุกจะมีเนื้อขนมสุกใสค่ะ
7. ตั้งไว้ให้อุ่นถึงเย็น ใช้ปลายช้อนกาแฟค่อยๆแคะจากขอบ วนๆไป จะได้ขอบขนมคม สวย ไม่ยู่ยี่ จึงลงจานหรือบรรจุกล่อง

เคล็ดลับขนมกล้วย (สูตรป้าหมู)
  • ใส่ถ้วยตะไลนึ่งประมาณ 15-18 นาที / ถ้านึ่งใส่ถาดนึ่งนานประมาณ 35-40 นาที
  • ใช้กล้วยน้ำว้า 400 กรัม กล้วยหอม 100 กรัม จะได้ขนมกล้วยที่มีความหนึบและความหอมเพิ่มขึ้น
  • ถ้าใช้กล้วยหอมอย่างเดียว ขนมกล้วยจะไม่หนึบหนับๆ เพราะในกล้วยหอมจะมีน้ำมาก แต่ถ้าจะใช้กล้วยหอมจริงแนะนำให้ลดปริมาณกะทิลงค่ะ
  • สูตรนี้ปรับเปลี่ยนวัตถุดิบเป็นเผือก ฟักทอง มันเทศ มันม่วง แตงไทยได้นะคะ แต่ให้ปรับสูตรตามเนื้อวัตถุดิบของเรา ถ้าเป็นมันม่วงเนื้อจะแห้งกว่าให้เพิ่มกะทิ ถ้าเป็นฟักทองเนื้อเหลวกว่า ถ้าใช้กะทิตามสูตร ควรเพิ่มเนื้่อฟักทองอีก 100-150 กรัม หรือลดกะทิลงค่ะ

วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ขนมตาล (สูตรเจ๊หลี)

ขนมตาล (สูตรเจ๊หลี) : หอม ฟู นุ่ม ไม่ใช้ยีสต์ เหมาะสำหรับเนื้อตาลยีใหม่ๆ หรือเนื้อตาลที่เก็บไม่เกินสัปดาห์ค่ะ

ส่วนผสมขนมตาล

1. กะทิ 1 กระป๋อง ผสมน้ำเพิ่มอีกจนได้สัดส่วน 2+1/4 ถ้วยตวง (520 กรัม)
(หรือถ้าใครจะคั้นกะทิเอง ใช้มะพร้าวขาวขูด 500 กรัม คั้นให้ได้กะทิข้นๆ 2+1/4 ถ้วยตวง)
2. น้ำตาลทราย 1+2/3 ถ้วยตวง (275 กรัม)
3. แป้งข้าวจ้าว 2+1/2 ถ้วยตวง (235 กรัม)
4. เนื้อตาล 3/4 ถ้วยตวง (170 กรัม)
(เนื้อตาลยีให้นำมาแขวนด้วยผ้าขาวบางให้น้ำหยดให้หมดก่อนนะคะ แขวนไว้ประมาณ 1 วันค่ะ)
5. มะพร้าวแก่ทึนทึกขูดฝอย ผสมเกลือ เตรียมไว้โรยหน้า
6. ผงฟู 1/2 - 1 ช้อนชา

วิธีทำขนมตาล

1. ผสมน้ำกะทิกับน้ำตาลทรายลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ จนน้ำตาลละลาย คนต่อไปจนเดือดทั่ว ทิ้งไว้ให้เย็น (ถ้าใช้กะทิคั้นเองให้กรองน้ำกะทิด้วยค่ะ)
2. ร่อนแป้งข้าวจ้าว แล้วนำมาผสมกับเนื้อตาล ใช้ปลายนิ้วเคล้าให้เข้ากัน ลักษณะที่ได้จะเป็นเม็ดๆ (เหมือนทำแป้งพาย) แล้วใส่กะทิลงไปนิดหน่อย กะประมาณให้สามารถนวดแป้งเข้ากันเป็นแป้งโดได้ ไม่ถึงกับแฉะ แล้วก็นวดต่อไป เหมือนนวดแป้งขนมปัง ประมาณ 25 นาที
3. พอนวดเสร็จ เติมกะทิส่วนที่เหลือลงไปทีละน้อย นวดแป้งให้ละลายกับน้ำกะทิ จนได้ส่วนผสมเหลว 4. คลุมด้วยพลาสติกอย่างมิดชิด หรือปิดฝาพักไว้จนขึ้นเป็นฟองละเอียดประมาณ 6 ชั่วโมง หรือถ้าจะให้ดี ก็คือเตรียมแป้งตอนกลางคืน ทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วมานึ่งตอนเช้าค่ะ
5. เตรียมลังถึงใส่น้ำ 3/4 ของหม้อ นำขึ้นต้มให้เดือด ใส่ถ้วยตะไลหรือพิมพ์ที่จะใช้นึ่งขนมลงไปนึ่งให้ร้อนจัดก่อนจะนึ่งขนม
6. เสร็จแล้วตักเนื้อขนมตาลแบ่งใส่ถ้วยเล็กมาประมาณ 1 ถ้วยตวง แล้วใส่ผงฟูประมาณ 1/2 -1 ช้อนชาลงไปคนให้ละลายเข้ากันด้วยช้อนไม้หรือพายยาง แล้วค่อยเทส่วนผสมในถ้วยเล็กใส่เนื้อตาลที่ตักแบ่งมา คนผสมให้เข้ากันทั้งหม


7. ตักใส่พิมพ์ที่กำลังอุ่นร้อนๆ นึ่งประมาณ 10 -15 นาที (แล้วแต่ขนาดของพิมพ์) เช็คขนมตาลว่าสุกหรือยัง ด้วยการใช้ไม้จิ้มฟันแทงเนื้อขนมดู หากยังแฉะ ก็ถือว่ายังไม่สุกค่ะ ขนมตาลจะฟูมากน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณของผงฟูที่ใส่ด้วยนะคะ

บัวลอยสาคูมะพร้าวอ่อน

บัวลอยสาคูมะพร้าวอ่อน (สาคูวิลาศ / สาริกาเล่นน้ำ)

ส่วนผสมบัวลอยสาคูมะพร้าวอ่อน

1. เม็ดสาคู 200 กรัม
2. สีจากธรรมชาติ 2 ช้อนโต๊ะ (หรือสีผสมอาหารตามชอบ)
  • สีม่วงจากน้ำคั้นดอกอัญชัน 
  • สีแดงจากน้ำหวานเฮบูลบอย 
  • สีเขียวจากน้ำคั้นใบเตย 
  • สีเหลืองจากฟักทอง
3. น้ำตาลทราย 250 กรัม
4. น้ำเปล่า 200 กรัม
5. ใบเตย 4-5 ใบ
6. เนื้อมะพร้าวอ่อนตามชอบ (นำไปนึ่ง 5 นาที)
7. เกลือ 1/4 ช้อนชา
8. น้ำกะทิ 250 กรัม

วิธีทำบัวลอยสาคูมะพร้าวอ่อน

1. นำเม็ดสาคูมาล้างน้ำผ่านกระชอน 1 รอบ แล้วรอให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นแบ่งสาคูออกเป็น 4-5 ถ้วย (แล้วแต่สีที่นำมาผสมนะคะว่าใช้กี่สี) วันนี้เราใช้ 4 สีค่ะ
2. นำน้ำสีมาใส่ในเม็ดสาคูประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน แล้วพักทิ้งไว้ให้เม็ดสาคูดูดน้ำสีของเราค่ะ
3. ระหว่างนั้นเรามาทำส่วนของน้ำเชื่อมกันค่ะ นำน้ำเปล่า น้ำตาลทราย และใบเตยใส่หม้อ ยกขึ้นตั้งไฟน้ำคนจนน้ำตาลละลาย แล้วปล่อยให้เดือด ตักใบเตยออก ต้มต่อไปอีก 5 นาที ก็ปิดเตา ยกลง พักไว้
4. ถึงเวลาปั้นเม็ดสาคูแล้วค่ะ ขยำเม็ดสาคูให้เข้ากัน แล้วปั้นเม็ดสาคูเป็นก้อนเล็กหรือใหญ่ตามชอบ ทำแบบนี้ไปจนหมดทุกสี
5. แล้วตั้งหม้อใส่น้ำเปล่าลงต้มให้เดือด พอน้ำเดือดจัด ใส่สาคูที่ปั้นไว้ลงต้ม รอจนสาคูลอยขึ้นมา (อย่าเพิ่งตักออกนะคะ) ต้มต่อไปอีก 3-5 นาที แล้วตักขึ้นมาน๊อกในน้ำเย็นจัดค่ะ
6. ส่วนของน้ำกะทิ นำน้ำกะทิใส่หม้อตั้งไฟอ่อน ใส่เกลือลงไปคนให้เข้ากัน ปล่อยให้กะทิร้อน แต่อย่าให้เดือดนะคะ ปิดไฟ ยกลง
7. ตักเม็ดสาคูใส่ชาม ราดด้วยน้ำเชื่อม น้ำกะทิ และโรยหน้าด้วยเนื้อมะพร้าวอ่อนนึ่ง เสิร์ฟทานร้อนๆได้เลยค่ะ

ปล. สาเหตุที่ไม่ใส่เนื้อมะพร้าวอ่อนลงในน้ำกะทิ เพราะกลัวน้ำกะทิจะเสียค่ะ เป็นการถนอมอาหารไปในตัว

วุ้นน้ำนมข้าวโพด

วุ้นน้ำนมข้าวโพด

ส่วนผสมวุ้นน้ำนมข้าวโพด

1. ข้าวโพดดิบ 450 กรัม (2 ฝัก)
2. ผงวุ้น 1+1/4 ช้อนชา
3. น้ำเปล่า (ส่วนที่ 1) 1.5 ถ้วยตวง
4. น้ำเปล่า (ส่วนที่ 2) 1 ถ้วยตวง
5. น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วยตวง + 3 ช้อนโต๊ะ
6. นมข้นหวาน 1/4 ถ้วยตวง

วิธีทำวุ้นน้ำนมข้าวโพด

1. นำข้าวโพดดิบมาแกะเปลือก ล้างให้สะอาดแล้วผึ่งสะเด็ดน้ำ แล้วฝานเอาแต่เนื้อข้าวโพด
2. เทเนื้อข้าวโพดปั่นรวมกับน้ำเปล่า (ส่วนที่ 1) จนข้าวโพดละเอียด ไม่เป็นเม็ด แล้วกรองเอาแต่น้ำ
3. นำใส่หม้อตุ๋นจนน้ำข้าวโพดสุก สังเกตจากสีมีความมันวาว เข้ม สวยให้ปิดเตา แล้วยกลง รอไว้
4. เตรียมหม้ออีกใบ นำผงวุ้นใส่น้ำเปล่า (ส่วนที่ 2) ลงคนเบาๆ พักไว้ 15 นาที
5. เมื่อครบเวลายกหม้อตั้งไฟไฟอ่อน คนจนผงวุ้นละลาย (น้ำวุ้นจะใส)
6. ใส่น้ำตาลและด้วยนมข้นหวานลงไป คนให้ละลาย
7. แล้วนำส่วนผสมเทใส่ในหม้อน้ำนมข้าวโพดที่ทำตอนแรก คนพอเข้ากัน ปิดไฟ
8. เทใส่พิมพ์ พักให้เซตตัว

น้ำนมข้าวโพดสำหรับราดวุ้น

1. ข้าวโพดดิบ 160 กรัม (1ฝัก)
2. น้ำเปล่า 3/4 ถ้วยตวง + 2 ช้อนโต๊ะ
3. น้ำตาลทรายขาว 3+1/2 ช้อนโต๊ะ
4. เกลือป่น 1/8 ช้อนชา

วิธีทำ

1. นำข้าวโพดดิบมาแกะเปลือก ล้างให้สะอาดแล้วผึ่งสะเด็ดน้ำ แล้วฝานเอาแต่เนื้อข้าวโพด
2. เทเนื้อข้าวโพดปั่นรวมกับน้ำเปล่าจนข้าวโพดละเอียด ไม่เป็นเม็ด แล้วกรองเอาแต่น้ำ
3. นำใส่หม้อตุ๋นจนน้ำข้าวโพดสุก ปรุงรสชาติด้วยน้ำตาลทรายขาวและเกลือป่น คนให้เข้ากัน สังเกตว่าข้าวโพดสุกหรือยัง ให้ดูจากสีมีความมันวาว เข้ม สวยแล้วให้ปิดเตา ยกลง

เวลาเสิร์ฟนำวุ้นน้ำนมข้าวโพดที่เซตตัวแล้ว มาราดน้ำนมข้าวโพดลงไป โรยหน้าด้วยข้าวโพดต้มหรือมะพร้าวอ่อน ก็เป็นอันเสร็จพร้อมทานค่ะ

เค้กฟักทองนึ่งเจ

เค้กฟักทองนึ่งเจ สูตรคุณชำนาญ

ส่วนผสมเค้กฟักทองนึ่งเจ

1. ฟักทองนึ่งสุก 250 กรัม
2. แป้งเค้ก (แป้งบัวแดง) 400 กรัม
3. เบกกิ้งโซดา 1/2 ช้อนโต๊ะ
4. ผงฟู 1/2 ช้อนโต๊ะ
5. น้ำตาลทราย 200 กรัม
6. น้ำตาลปิ๊บ 75 กรัม
7. กะทิ 200 กรัม
8. น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
9. เกลือ 1/2 ช้อนโต๊ะ
10. น้ำมันพืช 150 กรัม

วิธีทำเค้กฟักทองนึ่งเจ

1. ร่อนแป้งบัวแดง + ผงฟู + เบกกิ้งโซดา 2 รอบ
2. ปั่นฟักทองนึ่งสุก กะทิ น้ำตาลทราย น้ำตาลปิ๊บ และเกลือให้เข้ากัน
3. เทฟักทองปั่นลงอ่างผสม แล้วเติมแป้งที่ร่อนไว้แล้วลงไป เติมน้ำมันพืช ใช้ตระกร้อมือค่อยๆคนไปทางเดียวกันไปเรื่อยๆจนเข้ากัน
4. เติมน้ำมะนาวลงคนต่อให้เข้ากันดี เติมสีหากต้องการ พักแป้งปิดฝาหรือแร๊พพลาสติกไว้ 30 นาที
5. เมื่อพักแป้งได้ที่แล้ว ตักเนื้อขนมลงพิมพ์กระดาษ 3/4 ของถ้วย นำนึ่งในลังถึง 12-15 นาที เมื่อเค้กสุกก็เปิดฝายกลงได้เลยค่ะ

วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2559

ปลาหมึกนึ่งมะนาว

ปลาหมึกนึ่งมะนาว

ส่วนผสมปลาหมึกนึ่งมะนาว

1. ปลาหมึกสด
2. พริกขี้หนูสับ
3. กระเทียมสับ
4. น้ำปลา
5. มะนาว
6. น้ำตาลทราย
7. ผักชีฝรั่งซอย

วิธีทำปลาหมึกนึ่งมะนาว

1. นำปลาหมึกสดมาล้างให้สะอาด เอาตาและไส้ออก และหั่นเป็นชิ้นใส่จาน รอนึ่ง
2. เทน้ำใส่หม้อนึ่ง ตั้งน้ำให้เดือดด้วยไฟแรงๆ นำปลาหมึกสดที่หั่นไว้ลงไปนึ่งประมาณ 10 นาที
3. ระหว่างนี้เราก็มาทำน้ำราดกันค่ะ โดยนำพริกขี้หนูสับและกระเทียมสับใส่ลงในชาม ปรุงรสด้วยน้ำปลา มะนาว น้ำตาลทรายจนพอใจ แนะนำให้ปรุงรสจัดกว่าปกติหน่อยค่ะ เพราะน้ำในปลาหมึกจะออกหลังจากนึ่ง เวลาราดผสมแล้วจะอ่อนลง และควรจะรินน้ำจากปลาหมึกออกสักหน่อยเหลือไว้พอคลุกคลิก แล้วค่อยราดน้ำยำลงไปจะแซ่บพอดีค่ะ โรยหน้าผักชีฝรั่งนิดหน่อย ก็ทานได้แล้วค่ะ

ขนมจีนน้ำยาใต้

ขนมจีนน้ำยาใต้ (ขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้)

ส่วนผสมขนมจีนน้ำยาใต้

1. พริกแกงใต้ (ถ้าซื้อพริกแกงสำเร็จ ให้เติมกะปิเพิ่มด้วยค่ะ)
2. ปลาน้ำดอกไม้
3. หัวกะทิ + หางกะทิ
4. ลูกชิ้นปลา
5. ส้มแขก 1-2 ชิ้น มีรสเปรี้ยว(ไม่ใส่ก็ได้)
6. ใบมะกรูด
7. เกลือ
8. น้ำปลา
9. น้ำตาลปี๊บ

วิธีทำขนมจีนน้ำยาใต้

1. นำปลามาทาเกลือแล้วไปนึ่ง แกะเอาแต่เนื้อ โขลกให้ละเอียด พักไว้
2. ตั้งหัวกะทิให้ร้อนใส่พริกแกงใต้ลงไปผัดให้หอม ใส่หางกะทิลงไปต้มให้เดือด
3. ใส่เนื้อปลาโขลก ลูกชิ้นปลา และใบมะกรูดลงไป
4. ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ เกลือ น้ำปลา และส้มแขก ต้มให้เดือดอีกครั้ง
5. ตักราดบนเส้นขนมจีน เสิร์ฟทานพร้อมไข่ต้ม ผักสดตามชอบ (ถ้าชอบรสจัดให้ตำพริกสดใส่ถ้วยและแยกเกลือไว้ข้างๆ จะช่วยเพิ่มรสชาติมากขึ้น)

ขนมจีนน้ำยาปู

ขนมจีนน้ำยาปู

ส่วนผสมขนมจีนน้ำยาปู

1. พริกแกงใต้ 500 กรัม
2. หัวกะทิ + หางกะทิ 2 กิโลกรัม
3. กรรเชียงปู (เนื้อปู) 1 กิโลกรัม
4. น้ำตาลปี๊บ
5. เกลือ
6. ส้มแขก กะตามชอบ

วิธีทำขนมจีนน้ำยาปู

1. นำหัวกะทิใส่หม้อ ยกขึ้นตั้งไฟ เคี่ยวให้แตกมัน ใส่พริกแกงใต้ลงไปผัดให้หอม
2. ใส่หางกะทิลงไปคนให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บและเกลือให้มีเค็มหวานตามชอบ ใส่ส้มแขกตามลงไป จะทำให้มีรสเปรี้ยวเล็กน้อย ปล่อยให้เดือด
3. ใส่เนื้อปูลงไปคนให้เข้ากันแบบเบามือ เพื่อไม่ให้เนื้อปูแตก ปล่อยให้เดือดอีกครั้ง ปิดเตาไฟ
4. ตักราดบนเส้นขนมจีน ทานพร้อมผักสดและไข่ต้ม อร่อยสุดๆเลยค่า

ขนมขาหมู (ตือคาโค)

ขนมขาหมู (ตือคาโค) : เหมาะกับช่วงเทศกาลกินเจที่มาถึงนี้เลยค่ะ ใส่เผือกกับถั่ว ทานตอนทอดใหม่ๆ กรอบนอก นุ่มใน อร่อยมากเลยล่ะค่ะ แถมยังเป็นอาหารเจที่มีตลอดทุกช่วงเทศกาลกินเจอีกด้วยนะคะ

ส่วนผสมขนมขาหมู (ตือคาโค) : สูตรนี้ได้ขนมประมาณ 8 ชิ้น

ตัวขนม

1. แป้งข้าวจ้าว 1/2 ถ้วย
2. แป้งสาลี 1/2 ถ้วย
3. กะทิ 1/2 ถ้วย
4. น้ำปูนใส 1/2 ถ้วย
5. ถั่วดำต้มสุก 1/2 ถ้วย
6. เผือกหั่นชิ้นเล็ก 1+1/2 ถ้วย
7. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
8. น้ำมันสำหรับทอด
9. พิมพ์ขนมขาหมู (ถ้าไม่มีใช้ทัพพีกลมๆแทนได้ค่ะ)

น้ำจิ้ม

1. น้ำตาลปี๊บ 1/2 ถ้วย
2. น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย
3. น้ำมะขามเปียก 4 ช้อนโต๊ะ
4. เกลือปลายช้อน
5. พริกสดสีแดง โขลกหยาบๆ 4 เม็ด
6. ถั่วลิสงคั่ว โขลกหยาบๆ 2 ช้อนโต๊ะ
7. ผักชีซอย

วิธีทำขนมขาหมู (ตือคาโค)

น้ำจิ้ม

ผสมน้ำตาลปี๊บ น้ำเปล่า น้ำมะขามเปียก และเกลือลงในหม้อ นำขึ้นตั้งเตาให้เดือดดี เคี่ยวให้ข้นขึ้นเล็กน้อย แล้วใส่พริกสดสีแดงโขลกหยาบๆลงไป คนให้เข้ากัน พักไว้ให้เย็น

ตัวขนม

1. ผสมแป้งข้าวจ้าว แป้งสาลี กะทิ น้ำปูนใส และเกลือลงในชามผสม คนให้แป้งละลายหมด แล้วใส่เผือกหั่นชิ้นเล็ก ถั่วดำต้มสุก ลงไปคนผสมให้เข้ากัน
2. นำพิมพ์แช่ในน้ำมันให้ร้อนดีก่อน แล้วตักส่วนผสมใส่ลงไป จุ่มลงในน้ำมัน พอขนมเริ่มจับตัวกันดี และขอบขนมด้านข้างร่อนออกจากพิมพ์ ใช้ไม้แหลมแคะออกจากพิมพ์ ทอดให้เหลืองกรอบทั้งสองด้าน ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน ทอดจนหมดแป้ง

เวลาจะรับประทานก็ตัดขนมเป็นชิ้นเล็ก จัดใส่จาน ทานคู่กับน้ำจิ้มที่เคี่ยวไว้ โดยใส่ผักชีซอยและถั่วลิสงคั่วโขลกหยาบๆลงไปในน้ำจิ้มด้วย

พะแนงเนื้อ

พะแนงเนื้อ

ส่วนผสมพะแนงเนื้อ

1. เนื้อติดมัน 1 กิโลกรัม
  • หั่นชิ้นเล็กๆพอคำ นำเนื้อใส่หม้อ ใส่น้ำ 1 ลิตร ใบมะกรูด ตั้งไฟกลางให้เดือด ใส่นำ้ปลา 5 ช้อนโต๊ะ รวนให้เนื้อนุ่ม รอไว้
2. กะทิ 1 กิโลกรัม (แยกหัว-หาง)
  • เคี่ยวหัวกะทิรอไว้
3. พริกแกงเผ็ด 1 ขีด
4. ลูกผักชีป่น 1 ช้อนโต๊ะ
5. ยี่หร่าป่น 1/2 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำตาลปี๊บ 1/2 ขีด
7. น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
8. มะเขือพวง 2 ขีด
9. ใบมะกรูด 15 ใบ
10. พริกชี้ฟ้าแดง+เขียวอย่างละ 1 เม็ด หั่นเฉียง
11. ใบโหระพา 1 กำ

วิธีทำพะแนงเนื้อ

1. ตั้งกระทะใส่หัวกะทิที่เคี่ยวรอไว้ลงไป ใส่พริกแกงเผ็ด ลูกผักชีป่น และยี่หร่าป่นลงผัดให้แตกมัน แล้วสลับใส่หัวกะทิกับหางกะทิลงผัดไปเรื่อยๆด้วยไฟอ่อน จนกะทิที่ผัดแตกมันสวย
2. ใส่เนื้อที่รวนไว้ลงไปผัดให้พริกแกงให้เข้าเนื้อ
3. ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาลปี๊บ ใส่มะเขือพวง พริกชี้ฟ้าหั่นเฉียง ใบมะกรูด และใบโหระพาลงไปคนให้เข้ากัน ปิดไฟ ตักใส่ชาม เสิร์ฟได้เลยค่ะ

น้ำพริกตาแดง

น้ำพริกตาแดงโบราณ

ส่วนผสมน้ำพริกตาแดง

1. พริกขี้หนูแห้งนำมาคั่วแล้วป่น 100 กรัม (เพิ่มลดตามชอบ)
2. กระเทียมไทย 200 กรัม
3. หอมแดง 300 กรัม
4. มะขามเปียกใหม่ๆ 200 กรัม (แกะเอาแต่เนื้อ แล้วนำมาสับให้ละเอียด นำไปนึ่งฆ่าเชื้อประมาณ 20 นาที)
5. กะปิอย่างดี (นำไปห่อใบตอง แล้วย่างบนเตาถ่านให้หอม)
6. น้ำตาลมะพร้าว 50 กรัม
7. น้ำปลาอย่างดี

วิธีทำน้ำพริกตาแดง

1. นำหอมแดงและกระเทียมไปย่างบนเตาถ่านให้สุก
2. แล้วนำมาใส่ครกโขลกให้ละเอียด ใส่พริกขี้หนูแห้งนำมาคั่วแล้วป่นไว้ + กะปิย่างลงโขลกให้เข้ากัน ใส่เนื้อมะขามเปียกที่สับไว้ลงโขลกให้ละเอียด
3. ปรุงรสด้วยน้ำตาลและน้ำปลาชิมรสตามชอบ แต่ควรจะเผ็ดนำ เปรี้ยว เค็ม และหวานเล็กน้อย
4. ตักใส่ภาชนะที่สะอาดเก็บไว้รับประทานได้นาน เสร็จเรียบร้อยพร้อมรับประทานคู่กับเนื้อเค็ม ไข่เจียว กากหมู ผักสดอื่นๆได้ตามชอบเลยค่ะ

ยำขนมจีน

ยำขนมจีน

ส่วนผสมยำขนมจีน

1. เส้นขนมจีน
2. ถั่วฝักยาวซอย
3. ถั่วพลูซอย
4. หอมแดงซอย
5. ต้นหอมซอย
6. น้ำปลา
7. มะนาว
8. พริกป่น
9. น้ำปลาร้าต้มสุก
10. น้ำตาล
11. ปลาดุกฟู
12. หมูยอ
13. ไข่ยางมะตูม (เครื่องเคียง)
14. แคปหมู (เครื่องเคียง)

วิธีทำยำขนมจีน


1. เริ่มจากทำน้ำยำกันก่อนค่ะ ใส่น้ำปลา น้ำมะนาว น้ำปลาร้าต้มสุก พริกป่น น้ำตาลลงคนผสมรวมกันในชามผสมให้เข้ากัน ชิมรสชาติตามต้องการ แต่ให้รสจัดนิดนึงค่ะ เพราะใส่ขนมจีนแล้วจะจืดลงอีกหน่อย
2. ใส่เส้นขนมจีน ถั่วฝักยาว ถั่วพลู ปลาดุกฟู (เหลือไว้โรยแต่งหน้านิดนึงค่ะ) ต้นหอมซอย หอมแดงซอย และหมูยอ ลงคลุกเคล้าให้เข้ากัน
3. จัดใส่จานเสริฟพร้อมเครื่องเคียงพวกไข่ยางมะตูมและแคปหมู พร้อมทานแล้วค่ะ

เมี่ยงคำ

เมี่ยงคำ : อาหารว่างไทยเป็นของดีที่มีมานาน เมี่ยงคำ ประกอบด้วย น้ำเมี่ยงและเครื่องเมี่ยง ห่อด้วยใบไม้ เช่น ใบชะพลู ใบทองหลาง

ส่วนผสมและวิธีทำเมี่ยงคำ

น้ำเมี่ยง

1. ขิงซอยบาง + ข่าซอยบาง + ตะไคร้ซอยบาง + หอมแดงซอยบางคั่วแล้วโขลกรวมกับกะปิ
2. น้ำตาลมะพร้าว 1 ถ้วย
3. น้ำสะอาด 1 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
5. กุ้งแห้งโขลกละเอียด
6. มะพร้าวขูดคั่ว
7. ถั่วลิสงคั่วโขลกหยาบ

วิธีทำน้ำราดเมี่ยงคำ

1. นำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำตาลมะพร้าวและน้ำสะอาดลงเคี่ยวสักพัก
2. ใส่ขิงซอยบาง + ข่าซอยบาง + ตะไคร้ซอยบาง + หอมแดงซอยบางคั่วแล้วโขลกรวมกับกะปิลงไป 3. ปรุงรสด้วยน้ำปลา ชิมรสชาติเค็มหวานตามชอบ เคี่ยวให้เหนียว แต่ไม่ต้องเหนียวมาก เพราะพอเย็น
จะเหนียวหนืดเกินไป
4. พอน้ำเมี่ยงเย็น ใส่กุ้งแห้งโขลกละเอียด มะพร้าวขูดคั่ว และถั่วลิสงคั่วโขลกหยาบลงผสมกัน คนให้เข้ากัน

เครื่องเมี่ยง

1. มะพร้าวคั่ว (ใช้มะพร้าวแก่ แต่ไม่แก่จัด เรียกมะพร้าวหนังหมู ไสเป็นชิ้นบาง แล้วซอยให้เท่ากัน คั่วไฟอ่อน จนเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทอง)
2. กุ้งแห้ง ล้างน้ำให้สะอาด
3. มะนาว ติดเปลือก หั่นเป็นชิ้นลูกเต๋า
4. ขิงหั่นเป็นชิ้นลูกเต๋า
5. ถั่วลิสงคั่ว
6. หอมแดงหั่นเป็นชิ้นลูกเต๋า
7. พริกขี้หนู (หั่นชิ้นเล็กหรือลูกโดด)
8. ผักที่ใช้ห่อ ใบทองหลาง หรือ ใบชะพลู

วิธีรับประทานเมี่ยงคำ

ใส่เครื่องเมี่ยงวางบนใบชะพลู และห่อ ตักน้ำเมี่ยงราดลงไป ก็ทานได้แล้วล่ะค่ะ

หมูสามชั้นทอดน้ำปลา

หมูสามชั้นทอดน้ำปลา : หมูสามชั้นทอดกรอบๆ หอมน้ำปลา ทานข้าวสวยหรือข้าวเหนียวก็อร่อย

ส่วนผสมหมูสามชั้นทอดน้ำปลา

1. หมูสามชั้น 500 กรัม
2. น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
3. น้ำเย็นจัด 3 ช้อนโต๊ะ
4. พริกไทยขาวป่น 1 ช้อนชา
5. แป้งข้าวเจ้า 3 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำมันปาล์มสำหรับทอด

วิธีทำหมูสามชั้นทอดน้ำปลา

1. นำหมูสามชั้นมาจิ้มด้วยมีดปลายแหลมหรือส้อมให้ทั่ว (ทั่วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะความอร่อยอยู่ตรงนี้ ยิ่งทั่วรสชาติยิ่งเข้าเนื้อไม่ต้องเสียเวลาหมักนาน)
2. นำน้ำปลาและพริกไทยป่นมาคลุกเคล้าเนื้อหมู นวดให้เข้ากันประมาณ 3 นาที
3. ใส่แป้งข้าวเจ้าและน้ำเย็นจัดลงไปนวดคลุกเคล้าให้เข้ากัน
4. ใส่เนื้อหมูลงทอดในน้ำมันร้อนจัดด้วยไฟกลาง จนสุกเหลืองน่ารับประทาน ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน
5. หั่นเป็นชิ้นพอคำรับ ประทานกับข้าวสวย ส้มตำ หรือแกล้มน้ำจิ้มแจ่ว ก็อร่อยทั้งนั้นค่ะ

กล้วยปิ้ง + น้ำราดกะทิมะพร้าวอ่อน (กล้วยปิ้งมะพร้าวอ่อน)

กล้วยปิ้ง + น้ำราดกะทิมะพร้าวอ่อน
 

ส่วนผสมกล้วยปิ้งมะพร้าวอ่อน

1. กะทิ 250 กรัม
2. น้ำตาลปี๊บ 300 กรัม (ถ้าใครไม่ชอบหวานมากลดปริมาณได้นะครับ)
3. เกลือ 1/2 ช้อนชา
4. แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ (ผสมน้ำ 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน)
5. เนื้อมะพร้าวอ่อน
6. กล้วยน้ำว้าห่าม

วิธีทำกล้วยปิ้งมะพร้าวอ่อน

1. เคี่ยวกะทิและน้ำตาลปี๊บในหม้อด้วยไฟอ่อนจนละลาย จากนั้นเติมเกลือลงไป คนไปเรื่อยๆ ให้กะทิข้น ชิมรสตามชอบ
2. ใส่แป้งมันละลายน้ำลงไป คนให้เข้ากันอีกครั้ง ปิดไฟ พักไว้
3. นำกล้วยน้ำว้าทั้งลูกไปปิ้งให้สุก
4. เมื่อกล้วยสุกแล้วหาถุงพลาสติกมาใส่กล้วย จากนั้นนำไปวางบนเขียงแล้วใช้สากหรืออุปกรณ์อื่นๆ ทับกล้วยให้แบน
5. นำกล้วยที่เราทับวางใส่จาน นำเนื้อมะพร้าวอ่อนไปผสมกับน้ำราดกะทิ แล้วตักราดบนตัวกล้วยปิ้ง เท่านี้ก็พร้อมทานแล้วค่า

ข้าวคลุกกะปิ

ข้าวคลุกกะปิ

ส่วนผสมข้าวคลุกกะปิ

ข้าวคลุกกะปิ

1. กะปิอย่างดี
2. ข้าวสวย (พักให้เย็น)
3. ผงปรุงรสหมู (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
4. น้ำมันพืช
5. กระเทียมสับ

หมูหวาน (แบบไม่ใส่ซีอิ้วดำหวาน แต่จะเคี่ยวน้ำตาลให้เป็นสีน้ำตาลเข้มแทนค่ะ)

1. หมูสามชั้น 1/2 กิโลกรัม
2. น้ำตาลมะพร้าว (หรือน้ำตาลปี๊บ) 3 ช้อนโต๊ะ + น้ำตาลทรายแดง
3. กระเทียม + รากผักชี + พริกไทย + หอมแดง ตำรวมกัน
4. ผงปรุงรสหมู
5. ซีอิ้วขาวพอประมาณ
6. น้ำเปล่าประมาณ 1 แก้ว



ของทานเคียง

กุ้งแห้งทอด กุนเชียงทอด ไข่เจียวหั่นฝอย มะม่วงซอย ถั่วฝักยาวซอย พริกขี้หนูซอย มะนาว

วิธีทำข้าวคลุกกะปิ

หมูหวาน (แบบไม่ใส่ซีอิ้วดำหวาน แต่จะเคี่ยวน้ำตาลให้เป็นสีน้ำตาลเข้มแทนค่ะ)

1. หมูสามชั้นให้เลือกเนื้อหมูที่ไม่แข็งกระด้างมาหั่นเป็นชิ้นหนาตามชอบ
2. นำกระเทียม + รากผักชี + พริกไทย + หอมแดงมาตำรวมกัน พักไว้
3. ใส่น้ำตาลมะพร้าว (หรือน้ำตาลปี๊บ) ลงในกระทะ ยกขึ้นตั้งไฟอ่อนๆ เคี่ยวให้น้ำตาลเริ่มสีเข้ม ใส่น้ำตาลทรายแดงลงไปเคี่ยวต่อด้วยไฟอ่อนๆ จนได้สีน้ำตาลเข้มสวยและมีกลิ่นหอม
3. ใส่ส่วนผสมที่ตำละเอียดในข้อที่ 2 ลงไปผัดคั่วให้หอม
4. ใส่เนื้อหมูลงไปผัด เติมผงปรุงรสหมูและซีอิ้วขาวลงไปพอประมาณ คนให้เข้ากัน
5. เติมน้ำเปล่าลงไปประมาณ 1 แก้ว คนให้เข้ากัน ปิดฝาทิ้งไว้สักพักให้หมูนุ่มได้ที่และน้ำงวดลงพอขลุกขลิก ชิมรสให้ได้ตามชอบ เติมเค็มหวานได้ตามใจชอบ ถ้าน้ำแห้งและหมูยังไม่นุ่ม ให้เติมน้ำอีกได้เล็กน้อยค่ะ เมื่อเนื้อหมูนุ่มได้ที่และน้ำงวดลงแล้ว ปิดเตา ยกลงได้เลยค่ะ

ข้าวคลุกกะปิ

1. ตักข้าวสวยใส่ถ้วยพักไว้ให้เย็นก่อน
2. ตักกะปิใส่ด้วยเล็กเติมน้ำมันพืชลงไปกะปริมาณให้พอบี้กะปิละลาย (จะเติมผงปงรสหมูหรือไก่ลงไปด้วยก็ได้) คนให้เข้ากัน แล้วนำไปเทใส่ชามข้าว คลุกให้เข้ากัน
3. นำกระทะตั้งไฟใส่น้ำมันพอประมาณ ใส่กระเทียมสับลงไปเจียวพอหอม ใส่ข้าวลงไปผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน ชิมรสชาติอย่าให้เค็มมาก เพราะเครื่องเคียงพวกกุนเชียงและหมูหวานก็รสเข้มอยู่แล้ว ปิดเตาไฟ จัดใส่จานทานกับหมูหวานและเครื่องเคียงต่างๆได้เลยค่ะ

ข้าวผัดปู

ข้าวผัดปู
  • การเลือกข้าวที่จะนำมาผัด ควรใช้ข้าวที่หุงออกมาแล้วเป็นเม็ดสวย ยังแข็งอยู่ ไม่บานออก และควรจะให้พักข้าวที่หุงสุกแล้วให้เย็นสนิท หรือเป็นข้าวเก่าก็จะยิ่งดี เพื่อที่ข้าวผัดจะได้ไม่แฉะ
  • เลือกใช้เนื้อปูนึ่ง เพราะจะมีกลิ่นหอมกว่าเนื้อปูต้ม เวลานำมาผัดจะทำให้รสชาติอร่อยกว่า
  • ไม่ควรปรุงรสข้าวผัดด้วยน้ำปลาหรือน้ำมันหอย เพราะนั่นจะทำให้ข้าวผัดปูเสียรสชาติ แถมสีของข้าวผัดก็จะคล้ำ ไม่สวย ให้ใช้เกลือแทนค่ะ
ส่วนผสมข้าวผัดปู

1. ไข่เป็ด
2. ข้าวสวยหุงสุกที่เย็นแล้ว
3. เกลือป่น
4. ซีอิ้วขาว
5. พริกไทยป่น
6. น้ำตาลทราย
7. เนื้อปูแกะ นึ่งสุก
8. ต้นหอมซอย
9. มะเขือเทศเอาไส้เมล็ดออก หั่นชิ้นเล็กๆ
10. น้ำมันพืช

วิธีทำข้าวผัดปู

1. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟให้ร้อน ควรใช้กระทะเหล็กในการผัดเพื่อกระจายความร้อนได้อย่างทั่วถึง
2. ตอกไข่ใส่ลงกระทะ แล้วยีไข่ให้แตก ใส่ข้าวสวยลงไปผัด ใช้ไฟกลางในการผัด
3. ปรุงรสด้วยน้ำตาล เกลือ และซีอิ๊วขาวลงผัดให้เข้ากัน ใส่ต้นหอมซอย มะเขือเทศ และเนื้อปูนึ่งลงไปผัดกับข้าว เพิ่มไฟแรง สะบัดกระทะเพื่อให้มีกลิ่นหอมของกระทะ และผัดจนกว่าข้าวจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน ปิดเตาไฟ
4. ตักข้าวผัดใส่จาน สุดท้ายโรยพริกไทยป่น รับประทานกับแตงกวา ต้นหอม และน้ำปลาพริกได้เลยค่ะ

บัวลอยฟักทอง

บัวลอยฟักทอง

ส่วนผสมบัวลอยฟักทอง

1. แป้งข้าวเหนียวประมาณ 1/2 - 1 ถ้วย
2. ฟักทองต้มบด 1/2 ถ้วย (เปลี่ยนเป็นเผือกนึ่งบด มันม่วง แครอท อื่นๆได้ตามชอบเลยค่ะ)
3. หัวกะทิ 1 ถ้วย (ใช้มะพร้าวขูด 1/2 กิโลกรัม ต่อน้ำอุ่น 1 ถ้วย)
4. น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
5. น้ำตาลปี๊บ
6. เกลือนิดหน่อย (ปลายช้อนชา)
7. หางกะทิ

วิธีทำบัวลอยฟักทอง

1. นำเนื้อฟักทองใส่ภาชนะแล้วยีให้ละเอียด จากนั้นค่อยๆใส่แป้งข้าวเหนียวลงผสม แล้วนวดไปเรื่อยๆให้เข้ากัน อาจนวดนานนิดนึง เพื่อให้เข้าเนื้อกันนะคะ ถ้าเหลวไปยังปั้นไม่ได้ ให้ค่อยๆเติมแป้งลงไปทีละน้อย นวดไปเรื่อยๆจนปั้นได้ จึงปั้นก้อนกลม รอไว้
2. เติมน้ำตาลทรายและน้ำตาลปี๊บใส่ผสมกับหัวกะทิ ใส่เกลือตามลงไป แล้วคนผสมจนน้ำตาลละลาย ชิมรสที่หวานตามต้องการ จึงนำขึ้นตั้งไฟกลางแค่พออุ่นจัด แต่ไม่ให้เดือด แล้วปิดไฟ
3. จากนั้นนำหางกะทิใส่หม้ออีกใบ ตั้งไฟให้เดือด ใส่บัวลอยที่ปั้นไว้ลงต้ม พอแป้งลอยขึ้นมา จึงตักออกใส่ลงในน้ำกะทิที่อุ่นรออยู่ คนให้เข้ากันก็กินได้แล้วค่ะ
4. พอตักใส่ถ้วยจะกินก็ตักกะทิสดข้นๆราดอีกที อร่อย นุ่มมากค่ะ

บัวลอยใบเตย

บัวลอยใบเตย

ส่วนผสมบัวลอยใบเตย

1. แป้งข้าวเหนียว 1/2 ถ้วย
2. น้ำใบเตยเข้มข้นต้ม 1/2 ถ้วย (เปลี่ยนเป็นน้ำอัญชัน หรือน้ำสีธรรมชาติอื่นๆได้ตามชอบเลยค่ะ)
3. หัวกะทิ 1 ถ้วย (ใช้มะพร้าวขูด 1/2 กิโลกรัม ต่อน้ำอุ่น 1 ถ้วย)
4. น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
5. น้ำตาลปี๊บ
6. เกลือนิดหน่อย (ปลายช้อนชา)
7. หางกะทิ

วิธีทำบัวลอยใบเตย

1. นำแป้งข้าวเหนียวส่วนหนึ่งใส่ภาชนะ แล้วค่อยๆใส่น้ำคั้นใบเตยลงไปทีละน้อย นวดให้เข้ากันจนแป้งปั้นได้ (ถ้าเหลวไปเติมแป้งเพิ่มค่ะ ร่วนไปเติมน้ำใบเตยค่ะ) จากนั้นปั้นเป็นเม็ดกลมรอไว้
2. เติมน้ำตาลทรายและน้ำตาลปี๊บใส่ผสมกับหัวกะทิ ใส่เกลือตามลงไป แล้วคนผสมจนน้ำตาลละลาย ชิมรสที่หวานตามต้องการ จึงนำขึ้นตั้งไฟกลางแค่พออุ่นจัด แต่ไม่ให้เดือด แล้วปิดไฟ
3. จากนั้นนำหางกะทิใส่หม้ออีกใบ ตั้งไฟให้เดือด ใส่บัวลอยที่ปั้นไว้ลงต้ม พอแป้งลอยขึ้นมา จึงตักออกใส่ลงในน้ำกะทิที่อุ่นรออยู่ คนให้เข้ากันก็กินได้แล้วค่ะ
4. พอตักใส่ถ้วยจะกินก็ตักกะทิสดข้นๆราดอีกที อร่อย นุ่มมากค่ะ

หมูแดงและน้ำราดหมูแดง

หมูแดงและน้ำราดหมูแดง

ส่วนผสมหมูแดงและน้ำราดหมูแดง

หมูแดง

1. หมูเนื้อแดงติดมันหั่นเป็นชิ้นยาวๆ 1/2 กิโลกรัม
2. น้ำมันงา 1 ช้อนชา
3. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
4. สีผสมอาหารสีแดง 1/2 ช้อนชา
5. ผงพะโล้ 1 ช้อนโต๊ะ
6. ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
7. เกลือ 1/2 ช้อนชา

น้ำราดข้าวหมูแดง

1. ผงพะโล้ 1 ช้อนโต๊ะ
2. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
3. ซีอิ้วขาว 1 ช้อนชา
4. สีผสมอาหารสีแดง 1/2 ช้อนชา
5. น้ำมันงา 1 ช้อนชา
6. แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ + น้ำเปล่า 3 ช้อนโต๊ะ
7. น้ำเปล่า 1 ลิตร (หรือ นำน้ำที่เหลือจากการหมักหมูมารวมด้วยก็ได้ค่ะ)
8. งาขาวคั่วสุก 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำหมูแดงและน้ำราดหมูแดง

1. คลุกเคล้าเนื้อหมูกับน้ำมันงา น้ำตาล ซีอิ๊วขาว สีผสมอาหารสีแดง ผงพะโล้ และเกลือ แล้วหมักทิ้งไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมง
2. นำเนื้อหมูที่หมักได้ ไปย่างหรืออบจนสุก หั่นเป็นชิ้นบางๆ เตรียมไว้
3. ทำน้ำราดหมูแดง โดยนำผงพะโล้ น้ำตาลทราย ซีอิ้วขาว สีผสมอาหารสีแดง น้ำมันงา และน้ำเปล่าลงผสมให้เข้ากัน แล้วยกขึ้นตั้งไฟ รอจนเดือด
4. นำแป้งมันมาละลายด้วยน้ำเปล่า ผสมให้เข้ากัน ใส่ลงไป คนให้เข้ากัน ใส่งาขาวคั่วลงไปคนให้กระจายทั่ว ปิดไฟแล้วยกลง
5. ตักข้าวแล้ววางหมูแดงลงไป นอกจากหมูแดงแล้ว อาจจะมีกุนเชียงทอด ไข่ต้ม ต้นหอมทานเคียงด้วยก็ได้นะคะ ราดด้วยน้ำราดข้าวหมูแดง ทานพร้อมน้ำจิ้มข้าวหมูแดงก็อิ่มอร่อยได้แล้วค่ะ

ส่วนผสมและวิธีทำน้ำจิ้มข้าวหมูแดง

พริกขี้ฟ้าสดหั่นหนาๆ หรือพริกขี้หนูหั่น ผสมกับน้ำส้มสายชู ใส่ซีอิ้วดำ น้ำตาลทราย เกลือ คนให้เข้ากัน ก็เป็นอันเสร็จค่ะ

น้ำมะขาม

น้ำมะขาม รสเปรี้ยวหวานอร่อย ทานใส่น้ำแข็งเย็นสดชื่นดีมากๆ เข้ากับอากาศร้อนของบ้านเราที่สุดเลยค่ะ

ส่วนผสมน้ำมะขาม

1. มะขามเปียก 1 ปั้น
2. น้ำเปล่าประมาณ 2 ลิตร
3. น้ำตาลทรายตามชอบ (ก็ขึ้นอยู่กับว่าชอบหวานแค่ไหนค่ะ ชอบหวานมากก็ใส่เยอะ ชิมรสชาติตามที่พอใจได้เลยค่ะ)
4. เกลือป่นนิดหน่อย

วิธีทำน้ำมะขาม

1. ต้มมะขามเปียกในน้ำให้เดือดสักพัก ปิดไฟ (หรือคั้นน้ำมะขามเปียกก่อนค่อยเอาไปต้มก็ได้ค่ะ)
2. กรองเอาแต่น้ำ นำขึ้นตั้งไฟอีกครั้ง
3. เติมน้ำตาลทรายและเกลือเล็กน้อย ชิมรสชาติเปรี้ยวอมหวานตามชอบ พักให้เย็น
4. ใส่น้ำแข็งดื่มได้เลยค่ะ

ข้าวเหนียวมูนใบเตย

ข้าวเหนียวมูนใบเตย

ส่วนผสมข้าวเหนียวมูนใบเตย

1. ข้าวเหนียวเขี้ยวงู 1 กิโลกรัม
2. มะพร้าวขูด 1/2 กิโลกรัม
3. ใบเตย 6 ใบ
4. น้ำอุ่น 1 + 1/2 ถ้วย
5. น้ำตาลทราย 600 กรัม
6. เกลือป่น 1 ช้อนชา

วิธีทำข้าวเหนียวมูนใบเตย

1. นำข้าวเหนียวเขี้ยวงูมาแช่น้ำ 3 ชั่วโมง เมื่อครบเวลาสรงขึ้นให้สะเด็ดน้ำ นำลงนึ่งในลังถึง 15 นาที เมื่อครบ 15 นาทีให้คนพลิกด้านล่างขึ้นด้วยไม้พาย แล้วนึ่งต่ออีก 15 นาที จะได้สุกทั่วกัน
2. จากนั้นทำน้ำกะทิใบเตยไว้มูนข้าวเหนียวกันค่ะ โดยหั่นใบเตยเป็นชิ้นเล็ก แล้วนำมาปั่นกับน้ำอุ่น คั้นกรองเอาแต่น้ำใบเตย แล้วนำน้ำไปเตยที่ได้ไปตั้งไฟพอเดือด พักไว้ให้คลายความร้อน
3. เมื่อน้ำใบเตยคลายความร้อนแล้วนำมาคั้นกับมะพร้าวขูด จนได้น้ำกะทิสีเขียวสวย แล้วจึงนำกะทิไปตั้งไฟ เติมน้ำตาลทรายและเกลือ คนให้เข้ากัน ต้มให้พอเดือด แต่ไม่ต้องแตกมัน เสร็จแล้วนำมามูนกับข้าวเหนียวร้อนๆใช้ไม้พายคนให้ทั่ว ปิดฝามูนไว้จนได้ที่ แล้วจึงตักเสิร์ฟทานพร้อมมะม่วงสุกเหลืองทองได้เลยค่ะ

ฉู่ฉี่ปลาทู

ฉู่ฉี่ปลาทู : รสชาติหวานๆ เค็มๆ มันๆ หอมเครื่องแกง ทานกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยสุดๆเลยนะคะ

ส่วนผสมฉู่ฉี่ปลาทู

1. หัวกะทิ
2. หางกะทิ
3. ปลาทูสด (ควักไส้ทิ้ง ล้างสะอาด ซับแห้ง บั้งให้สวยงาม) (หรือจะใส่กุ้ง ปลาเนื้ออ่อน ปลาลังสดแทนก็ได้นะคะ)
4. น้ำตาลมะพร้าว
5. น้ำปลา
6. เกลือป่น
7. เครื่องแกงฉู่ฉี่ (ข่าแก่ซอย โคนตะไคร้ซอย ผิวมะกรูดซอย รากผักชีซอย หอมแดงซอย กระเทียมไทยซอย พริกชี้ฟ้าแห้งและพริกขี้หนูแห้งแช่น้ำให้นุ่ม กรีดเม็ดทิ้ง เกลือ กะปิ) โขลกเกลือกับพริกแห้ง ใส่เครื่องที่เหลือหอมแดงและกะปิ ใส่สุดท้ายค่ะ
8. พริกชี้ฟ้าแดงซอยบาง
9. ใบมะกรูด ฉีก ซอยบาง
10. ผักชี

วิธีทำฉู่ฉี่ปลาทู

1. ตั้งกระทะไฟกลางค่อนไปทางอ่อน ใส่หัวกะทิเคี่ยวให้แตกมัน ระหว่างเคี่ยวให้หมั่นคนเรื่อยๆค่ะ แล้วแบ่งหัวกะทิข้นๆใส่ถ้วยไว้สำหรับหยอดหน้านิดหน่อยค่ะ
2. จากนั้นใส่เครื่องแกงฉู่ฉี่ลงผัดกับหัวกะทิให้สุกหอม ค่อยๆหยอดหัวกะทิข้างกระทะ หยอดทีละนิด
3. ใส่หางกะทิ ปรุงรสด้วยน้ำตาลมะพร้าว เกลือป่น และน้ำปลา คนให้เข้ากัน
4. เมื่อเดือดหย่อนปลาลงไป ปรับเป็นไฟอ่อน ปิดฝา รอจนปลาสุก ค่อยพลิกอีกด้าน ปิดฝา (ตอนใส่ปลา ลดไฟนะคะ ปิดฝาไว้จะได้สุกเร็ว เครื่องแกงไม่ไหม้และไม่ต้องกลับปลาบ่อยค่ะ ใช้เวลาประมาณ 5 นาที ปลาก็สุกแล้วค่ะ)
5. ใส่ใบมะกรูดซอยบางๆลงไป เมื่อหอม ปิดไฟ ราดหัวกะทิอีกครั้ง
6. โรยหน้าพริกชี้ฟ้าแดงซอยและผักชี ก็พร้อมเสิร์ฟแล้วค่ะ

คั่วกลิ้งหมู

คั่วกลิ้งหมู เมนูอาหารใต้ที่ทำไม่ยุ่งยาก

ส่วนผสมคั่วกลิ้งหมู

1. หมูสันนอก 3 ขีด
2. พริกแกงใต้ 1 + 1/2 ช้อน
3. กะปิ 1 ช้อนชา
4. น้ำตาล
5. ตะไคร้ซอย
6. ใบมะกรูดซอย
7. กะทินิดหน่อย

วิธีทำคั่วกลิ้งหมู

1. นำเนื้อหมูมาหั่นชิ้นหรือจะสับก็ได้ ตั้งกระทะใส่น้ำมันนิดหน่อย รอให้ร้อน ใส่เนื้อหมูลงผัดให้เกือบสุกใส่พริกแกงใต้และกะปิลงไป หยอดน้ำนิดๆให้เครื่องแกงละลายและไม่ไหม้ค่ะ ผัดให้เข้ากัน
2. ใส่ตะไคร้กับใบมะกรูดซอยลงไปผัด ใส่น้ำกะทิลงไปนิดหน่อยให้เนื้อหมูดูชุ่มฉ่ำ ไม่แห้งเกินไป ผัดไปจนเครื่องแกงแห้งเข้าเนื้อ แล้วซอยใบมะกรูดโรยอีกรอบก็เรียบร้อยค่ะ ตักใส่จานทานกับข้าวสวยได้เลยค่า

วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559

สังขยาอโวคาโด

สังขยาอโวคาโด : อร่อยดีและได้ประโยชน์จากอโวคาโด ไม่มีส่วนผสมของไข่แดง เติมกลิ่นใบเตยนิดหน่อยให้หอมน่าทานมายิ่งขึ้น สูตรสังขยานี้ทานกับขนมปัง/ปาท่องโก๋ (เจทานได้)

ส่วนผสมสังขยาอโวคาโด

1. อโวคาโดสุก 1/4 ถ้วยตวง (หรือ 50 กรัม หรือ ประมาณ 1/2 ผลขนาดกลาง)
2. แป้งข้าวโพดหรือแป้งสาลีอเนกประสงค์ 2 ช้อนโต๊ะ
3. น้ำตาลทราย 3-4 ช้อนโต๊ะ หรือตามความหวานที่ชอบ
4. กะทิ 3/4 ถ้วยตวง (ใช้นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ หรือนมชนิดอื่น แทนได้)
5. กลิ่นใบเตยนิดหน่อย

วิธีทำสังขยาอโวคาโด 

นำอโวคาโดกับกะทิไปปั่นให้เนียน แล้วใส่ทุกอย่างผสมรวมกัน นำเข้าไมโครเวฟ 2-3 นาที พอเย็นแล้วสังขยาอโวคาโดของเราจะข้นขึ้นอีก พร้อมทานแล้วค่ะ

สังขยาเจ

สังขยาเจ : สังขยาสำหรับทานกับขนมปังหรือปาท่องโก๋ ถ้าทำข้นหน่อยสามารถนำไปเป็นไส้ขนมอื่นๆได้ สังขยาเจถ้วยนี้ใช้เต้าหู้อ่อนแทนไข่ไก่ค่ะ ผู้ทานมังสวิรัตก็ทานได้นะคะ

ส่วนผสมสังขยาเจ

1. เต้าหู้อ่อน 1/4 ถ้วยตวง (ใช้เต้าหู้อ่อนที่นิ่มๆคล้ายเต้าหู้ไข่)
2. น้ำกะทิ 3/4 ถ้วยตวง (ใช้นมถั่วเหลืองหรือนมอัลมอนแทนได้ หรือจะใช้ผสมกันก็ได้)
3. น้ำใบเตย 1/4 ถ้วยตวง (ใช้น้ำดอกอัญชัน ชาไทย ชาเขียว หรืออื่นๆตามชอบได้)
4. น้ำตาลทราย 4 ช้อนโต๊ะ หรือมากน้อยตามความหวานที่ชอบ
5. แป้งข้าวโพด 1-2 ช้อนโต๊ะ (ใช้แป้งเค้ก แป้งสาลีอเนกประสงค์แทนได้)
6. กลิ่นวานิลานิดหน่อย หรือกลิ่นอื่นตามชอบ (กรณีที่น้ำที่ใช้ไม่มีกลิ่นหอม จึงใส่กลิ่น)

วิธีทำสังขยาเจ

1. บดเต้าหู้อ่อนให้ละเอียด (เราใช้วิธีปั่นโดยใส่เต้าหู้อ่อนกับน้ำกะทิ หรือน้ำดอกอัญชัน นิดหน่อยพอให้ปั่นได้ แล้วปั่นจนละเอียด)
2. เสร็จแล้วผสมเต้าหู้บดและเครื่องประกอบอื่นๆรวมกัน ตีให้แป้งละลายดี
3. นำไปกวนด้วยไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน กวนไปเรื่อยๆจนส่วนผสมข้นตามชอบ ยกลงได้

เอแคลร์ไส้สังขยาใบเตย

เอแคลร์ไส้สังขยาใบเตย (เอแคลร์ไส้ใบเตย)

ส่วนผสมและวิธีทำเอแคลร์ไส้สังขยาใบเตย (เอแคลร์ไส้ใบเตย)

ตัวแป้งเอแคลร์

1. นม 250 กรัม
2. เนย 120 กรัม
3. เกลือ 5 กรัม (หรือ 1 ช้อนชา)
4. น้ำตาลทราย 20 กรัม (หรือ 2 ช้อนชา)
5. แป้งเค้ก 160 กรัม
6. ไข่ไก่ 5 ฟอง (หรือ 250 กรัม)

1. เปิดเตาอบรอ ใช้ความร้อนบนล่าง 190 องศา
2. นำนม เนย เกลือ และน้ำตาลใส่หม้อ แล้วยกขึ้นตั้งบนเตา พอเริ่มเดือดนิดๆให้ร่อนแป้งเค้กลงไป จากนั้นใช้ทัพพีคนไปมาจนแป้งจับตัวเป็นก้อน แล้วนำใส่ภาชนะหรืออ่างผสม
3. ตอกไข่ไก่ตีให้เข้ากัน แล้วค่อยๆเทไข่ลงไปในแป้งทีละน้อย (ทำตอนที่แป้งกำลังร้อนๆค่ะ) แล้วใช้ไม่พายตีๆให้เข้ากัน ทำแบบนี้ซ้ำไปมาจนกว่าแป้งจะมีความยืดหยุ่นขึ้น ข้นขึ้น และเนียน
4. จากนั้นนำแป้งใส่ที่บีบ บีบแป้งลงบนกระดาษไข บีบลักษณะแบบขนมอาลัวขนาดตามชอบ นำเข้าอบด้วยความร้อน 180 องศา ประมาณ 25 นาที หรือจนแป้งพองสีทองค่ะ อบเสร็จแล้วนำออกพักให้เย็นแล้วจึงบีบไส้เอแคลร์

ไส้สังขยาใบเตย

1. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 75 กรัม
2. กะทิอร่อยดีแบบถุง 400 กรัม
3. ไข่ไก่ 3 ฟอง
4. น้ำตาลทราย 250 กรัม
5. เกลือ 1/2 ช้อนชา
6. น้ำใบเตยเข้มข้น 100 กรัม

ผสมแป้งสาลีอเนกประสงค์ กะทิอร่อยดี น้ำตาลทราย ไข่ไก่ และเกลือลงในหม้อ กวนด้วยตะกร้อมือเร็วๆจนละลายผสมเป็นเนื้อเดียวกัน นำขึ้นตั้งไฟกวนจนข้น เติมน้ำใบเตยเข้มข้นกวนต่อจนแป้งสุกใส (เมื่อสังขยาเริ่มจับตัวเป็นก้อน กวนช้าลงได้สักพัก และเริ่มจับตัวมากขึ้นต้องกวนเร็วๆ เพื่อไม่ให้สังขยาออกมาเป็นก้อน วิธีนี้จะทำให้ได้เนื้อสังขยาที่เนียนและมัน เวลาทานจะรับรู้ถึงความเนียนและมันของเนื้อสังขยาค่ะ) เสร็จแล้วก็ปิดไฟ พักไว้ให้เย็น ก็บีบไส้สังขยาใส่ตัวแป้งเอแคลร์ได้เลยค่ะ

เอแคลร์ไส้ครีม

เอแคลร์ไส้ครีม

ส่วนผสมและวิธีทำเอแคลร์ไส้ครีม

ตัวแป้งเอแคลร์

1. นม 250 กรัม
2. เนย 120 กรัม
3. เกลือ 5 กรัม (หรือ 1 ช้อนชา)
4. น้ำตาลทราย 20 กรัม (หรือ 2 ช้อนชา)
5. แป้งเค้ก 160 กรัม
6. ไข่ไก่ 5 ฟอง (หรือ 250 กรัม)

1. เปิดเตาอบรอ ใช้ความร้อนบนล่าง 190 องศา
2. นำนม เนย เกลือ และน้ำตาลใส่หม้อ แล้วยกขึ้นตั้งบนเตา พอเริ่มเดือดนิดๆให้ร่อนแป้งเค้กลงไป จากนั้นใช้ทัพพีคนไปมาจนแป้งจับตัวเป็นก้อน แล้วนำใส่ภาชนะหรืออ่างผสม
3. ตอกไข่ไก่ตีให้เข้ากัน แล้วค่อยๆเทไข่ลงไปในแป้งทีละน้อย (ทำตอนที่แป้งกำลังร้อนๆค่ะ) แล้วใช้ไม่พายตีๆให้เข้ากัน ทำแบบนี้ซ้ำไปมาจนกว่าแป้งจะมีความยืดหยุ่นขึ้น ข้นขึ้น และเนียน
4. จากนั้นนำแป้งใส่ที่บีบ บีบแป้งลงบนกระดาษไข บีบลักษณะแบบขนมอาลัวขนาดตามชอบ นำเข้าอบด้วยความร้อน 180 องศา ประมาณ 25 นาที หรือจนแป้งพองสีทองค่ะ อบเสร็จแล้วนำออกพักให้เย็นแล้วจึงบีบไส้เอแคลร์

ไส้ครีม

1. ไข่ไก่ 4 ฟอง
2. นมจืด 300 กรัม
3. น้ำตาลทราย 230 กรัม
4. กลิ่นวานิลา
5. เนยเค็ม 110 กรัม
6. แป้งสาลี 60 กรัม

1. นำนมสด ไข่ไก่ และน้ำตาลทรายมาตีรวมกัน จากนั้นกรองด้วยผ้าขาวบางหรือตะแกรงใส่ลงในอ่างโลหะ ใส่กลิ่นวานิลาตามลงไป
2. จากนั้นตั้งหม้อใส่น้ำตั้งให้เดือด นำอ่างที่ผสมไส้ครีมตั้งบนหม้อน้ำ แล้วปรับความร้อนลง ใช้ตะกร้อคนไปทางเดียวกัน คนไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมเริ่มข้นขึ้น จากนั้นใส่เนยเค็มลงไป คนไปเรื่อยจนทุกอย่างเข้ากัน ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ปิดไฟหาพลาสติกแรปปิดหน้าครีมไว้กันแห้ง พักให้เย็น จากนั้นนำไปบีบใส่ในตัวแป้งเอแคลร์ได้เลยค่า

ขนมใส่ไส้

ขนมใส่ไส้

ส่วนผสมขนมใส่ไส้

ไส้ขนม

1. มะพร้าวทึนทึกขูดเส้น 1/2 กิโลกรัม
2. น้ำตาลปี๊ป 1/2 กิโลกรัม
3. น้ำตาลอ้อย 1 ช้อนโต๊ะ (เพื่อใส้สีสวย)
4. แป้งข้าวเหนียว 3 ช้อนโต๊ะ (ให้ผสมน้ำนิดหน่อยไว้ค่ะ)
5. เทียนอบ

1. นำน้ำตาลปี๊ปใส่กระทะใส่น้ำเปล่านิดหน่อยเคี่ยวด้วยไฟกลาง พอน้ำตาลละลายใส่มะพร้าวทึนทึกขูดเส้นลงกวนให้เข้ากัน ใส่น้ำตาลอ้อยลงไปกวนจนเหนียว
2. ใส่แป้งข้าวเหนียวที่ละลายน้ำไว้ลงคนให้เข้ากัน (แป้งข้าวหนียวจะช่วยให้ไส้นุ่มค่ะ) กวนจนแห้งพอปั้นได้ ยกลงพักไว้ให้เย็น แล้วอบด้วยเทียนอบ หลังจากอบควันเทียนเสร็จแล้ว นำมาปั้นเป็นก้อนกลมขนาดพอประมาณ

ตัวขนม (แป้งห่อไส้)

1. แป่งข้าวเหนียว 1/2 กิโลกรัม
2. แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ
3. น้ำใบเตยคั้นข้นๆ 1 ถ้วย

1. ผสมแป้งข้าวเหนียวและแป้งมันรวมกันในชามผสม ค่อยๆใส่น้ำใบเตยคั้นข้นๆลงนวดให้เข้ากัน (ถ้าน้ำใบเตยน้อยไปใช้น้ำเปล่าได้) ให้นวดแป้งจนแป้งมีลักษณะอ่อน เพราะเวลานึ่งจะสุกง่าย
2. นำแป้งที่นวดได้ที่มาหุ้มไส้ขนมที่ปั้นไว้ ปั้นเป็นลูกๆเสร็จแล้วมาทำหน้าขนมกันต่อค่ะ

หน้าขนม

1. กะทิคั้นข้นประมาณ 6 ถ้วย (หรือถ้าจะใช้กะทิกล่องก็ได้ กล่องใหญ่ 1 กล่องผสมน้ำเท่าตัวค่ะ)
2. แป้งข้าวจ้าว 300 กรัม
3. เกลือป่น
4. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
5. แป้งถั่วเขียว 2 ช้อนโต๊ะ

1. เทน้ำกะทิใส่หม้อ ใส่แป้งข้าวจ้าว แป้งถั่วเขียว เกลือ และน้ำตาลทรายลงคนให้เข้ากัน
2. นำขึ้นตั้งไฟกลาง คนตลอดเวลากันก้นหม้อไหม้ กวนจนข้นขาว สังเกตดูถ้าหน้าขนมเริ่มเดือดแบบปุดๆ แต่ไม่ข้นให้ผสมแป้งข้าวจ้าวกับน้ำนิดหน่อยลงไปคนให้ละลาย เติมลงไปกวนจนกะทิข้น (ยกไม้พายขึ้นดูแป้งจะต้องไม่ไหล) เมื่อหน้าขนมข้นได้ที่แล้วยกลง

วิธีทำขนมใส่ไส้

1. เมื่อเตรียมทุกอย่างครบแล้ว นำตัวขนมที่ห่อไส้ไว้มาห่อใบตอง โดยการตักหน้าขนมหยอดลงไปที่ใบตองก่อนนิดหน่อย วางตัวขนมตามลงไป แล้วตักหน้าขนมราดทับตับขนมอีกที ห่อและกลัดไม้ให้สวยงาม
2. นำไปนึ่งด้วยไฟแรงประมาณ 10-15 นาที ดูว่าขนมสุกหรือยังก็ให้นำขนมมาแกะดู ถ้าตัวขนมสุกนิ่มก็เป็นอันใช้ได้ค่ะ

ข้าวเหนียวตาล

ข้าวเหนียวตาล รสชาติหวาน มัน เค็ม ครบทุกรส และยังหอมเนื้อตาลสุดๆ ลองทำทานกันดูนะคะ

ส่วนผสมข้าวเหนียวตาล

1. ข้าวเหนียวเขี้ยวงู 2 ถ้วยตวง (นำมาแช่น้ำ 3 ชั่วโมง)
2. เนื้อตาล 100 กรัม
3. กะทิ 1 ถ้วย
4. น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
5. เกลือ 1/2 ช้อนชา
6. มะพร้าวทึนทึกขูด 1/2 ถ้วย

วิธีทำข้าวเหนียวตาล

1. ผสมกะทิ + น้ำตาลทราย + เกลือลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟพอเดือด แล้วยกลงมาคนต่อให้พออุ่น
2. นำข้าวเหนียวขึ้นสะเด็ดน้ำใส่ลงไป ตามด้วยเนื้อตาลลงไปในหม้อกะทิ คนให้เข้ากันทิ้งไว้ 5-10 นาที (เรียกว่าวิธีนี้ มูนดิบ)
3. จากนั้นตักใส่กระทงใบตองให้เต็ม โรยมะพร้าวทึนทึกขูดที่คลุกเกลือเล็กน้อยลงไป หรือจะห่อใบตองก็ได้นะคะ
4. นำลงลังถึงนึ่งในน้ำเดือดประมาณ 20 นาที เราก็จะได้ข้าวเหนียวตาลไว้ทานแล้วล่ะค่ะ

ขนมผิง

ขนมผิง

ส่วนผสมขนมผิง

1. แป้งมัน 500 กรัม
2. น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วยตวง
3. หัวกะทิ 1 + 1/4 ถ้วยตวง
4. ไข่แดง 1 ฟอง (ได้จากไข่ไก่ (เบอร์ 2) 1 ฟองค่ะ)
5. กลิ่นมะลิ 1/2 ช้อนชา
6. เทียนอบ

วิธีทำขนมผิง

1. นำหัวกะทิตั้งไฟอ่อนเคี่ยว เติมน้ำตาลทรายลงไปเคี่ยวจนน้ำตาลละลายดี (เคี่ยวไปอย่าหยุดมือนะคะ) เคี่ยวอีกสักพักให้น้ำกะทิลงไปเคี่ยวให้เหนียว แต่อย่าให้กะทิเดือด พักไว้ หรือวางไว้ในถาดที่รองน้ำเย็นไว้
2. พอน้ำกะทิเริ่มอุ่นค่อนไปทางเย็น ตีไข่แดงพอแตกลงไปผสมในน้ำกะทิ คนให้เข้ากันดี
3. ร่อนแป้งที่ตวงไว้แล้วใส่ในชามผสม อบควันเทียนหนึ่งรอบ
4. จากนั้นแบ่งตรงกลางแป้งให้เป็นแอ่ง เติมน้ำกะทิลงไปทีละน้อย นวดจนแป้งเนียนดี ไม่เหลวหรือแข็งจนเกินไป พักแป้งไว้ 8 ชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้นก็ได้
5. นำแป้งที่พักดีแล้ว มาปั้นเป็นก้อนกลมขนาดเท่าปลายนิ้ว เรียงบนถาดที่ทาน้ำมันแล้ว เข้าอบไฟ 165 องศาเซลเซียส เวลาประมาณ 15-20 นาที
6. เช็คขนมว่าสุกหรือยังด้วยการชิมดูค่ะ ถ้าขนมสุกจะเป็นก้อนแข็งละลายดีเมื่อเข้าปาก
7. นำขนมผิงที่อบสุกแล้วมาใส่ชามผสม อบควันเทียน 2 รอบ แต่ละรอบใช้เวลา 1/2 ชั่วโมงโดยประมาณ เสร็จแล้วเก็บใส่ภาชนะหรือถุงที่ปิดสนิทค่ะ
ขับเคลื่อนโดย Blogger.